“พิพิธภัณฑ์โนราเติม วิน วาด”
ข้าพเจ้าห่างเหินการเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนสพ.ทั้งออนไลน์และกระดาษไปนาน ก่อนหน้านี้เคยทำหน้าที่นี้ในไทใต้ กรุงเทพธุรกิจรายวัน ภาคใต้ ผู้จัดการรายวัน ภาคใต้ คมชัดลึก ผู้จัดการออนไลน์ และโฟกัสภาคใต้ รู้สึกมีอิสระไม่ต้องหมกมุ่นกังวลกับการส่งต้นฉบับทุกสัปดาห์ หันไปทำหนังสือเล่ม รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนายหนังตะลุงและงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เช่น ตามหานายหนัง : นักเล่านิทานในยามวิกาล เล่ม ๑ เล่ม ๒/ ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย /ประเคียง ระฆังทอง : นายหนังตะลุงการเมือง “เพื่อชีวิตและสังคม ฯลฯ
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ขณะเดินทางไปร่วมคารวะศพบิดาของเพื่อนรุ่นน้องและลงขันร่วมรับหนังตะลุงกับเพื่อนๆ กลุ่มนาครที่มีประเพณีรับหนังตะลุงแสดงเพื่อคารวะศพบุพการีที่วัดขอนหาด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับโทรศัพท์ติดต่อจากทีมงานนสพ.โฟกัสภาคใต้ เชิญชวนให้มาทำหน้าที่คอลัมนิสต์สัปดาห์ละครั้ง โดยส่งต้นฉบับยาวประมาณ ๒ หน้าครึ่ง กระดาษเอ ๔ ตอนแรกข้าพเจ้าลังเล แต่ไม่รู้เพราะอะไรจึงตกปากรับคำและตั้งชื่อคอลัมน์ว่า “รากเหง้าและเบ้าหลอม” ซึ่งเป็นชื่อรองของหนังสือท่าข้ามที่ข้าพเจ้าจัดทำให้กับสินธพ อินทรัตน์ นายกอบต.ท่าข้ามเพื่อจัดพิมพ์ถวายสมเด็จพระขนิษฐาธิราชฯ
เป้าหมายในการนำเสนอคอลัมน์นี้คือต้องการบอกเล่าเก้าสิบเกี่ยวกับรากเหง้า ภูมิหลัง ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของคนใต้ในทางคติชนวิทยา ศิลปวัฒนธรรม กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเป็นตัวตนของคนใต้ เพื่อตอกย้ำว่า คนมีความแตกต่างกับเดรัจฉานตรงที่คนมีวัฒนธรรม มีกระบวนการเรียนรู้ มีคุณธรรม ศีลธรรม มีการสั่งสมทางวัฒนธรรมสืบทอดกันมา มีภูมิปัญญาที่สั่งสมบ่มเพาะจนมาถึงปัจจุบัน ไม่ใช่สัตว์ที่ไม่มีการเรียนรู้ ไม่มีสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันการเมืองการปกครองและสถาบันนันทนากรกล่อมเกลาให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ที่สำคัญคือคนใต้ถูกสอนให้มีความรู้สึกนึกคิดมาแต่โบราณและรู้เท่าทันคน เพราะเป็นดินแดนคาบสมุทร ต้องติดต่อกับนานาชาติพันธุ์ หลากหลายภาษาและนานาวัฒนธรรม
เรื่องแรกที่อยากนำเสนอในฉบับนี้คือ “ความน่าเป็นห่วงของพิพิธภัณฑ์โนราเติม วินวาด”ที่ข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เข้าไปเป็นกรรมการคนหนึ่งเมื่อปีสองปีที่แล้ว พร้อมเสนออ.ชัย เหล่าสิงห์ นายกสมาคมศิลปินพื้นบ้านจังหวัดสงขลาเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย กิจกรรมแรกที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายหรือขอความช่วยเหลือจากพี่วราภรณ์ อ๋องเซ่ง ทายาทของโนราเติม วินวาดคือการทำหน้าที่บรรณาธิการหนังสือ “มุตโตโนราเติม”ที่ต้องการจะจัดพิมพ์เพื่อเฉลิมฉลองในวาระสำคัญ “๑๐๙ ปีโนราเติม”ในเดือนตุลาคม ปี ๒๕๖๖ นี้
โนราเติม วินวาด เป็นอัครศิลปินโนราที่เยี่ยมยอดและยิ่งใหญ่ เป็นศิลปินโนรา ๔ ชั่วอายุคนสืบทอดกันมา รุ่นพ่อคือโนราตั้ง เมืองตรัง มีลูกชาย ๓ คนคือ โนราเติม ลูกชายคนโต โนราตุ้ง และโนราเคียง โนราเติมมีพรสวรรค์ในการขับกลอนมุตโตหรือหลอนสด พัฒนารูปแบบการแสดงโนราสู่สากลหลายอย่าง ต่อมาได้แต่งงานกับหนูวินหนูวาดบุตรสาวของโนราวันเฒ่า ศิลปินโนราจากนครศรีธรรมราช และมีตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโนราใหญ่สองคณะนี้
โนราเติม เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๑๔ สิริรวมอายุ ๕๖ ปี ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็น “บูรพศิลปิน” เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ หลังจากท่านเสียชีวิตไปแล้ว ๔๕ ปี
ปัจจุบันผู้สืบทอดมรดกโนราเติมวินวาดคือ นางวราภรณ์ อ๋องเซ่ง/นุ่นแก้ว ลาออกจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เมื่อพ.ศ.๒๕๔๗ อายุราชการ ๒๗ ปี อายุตัว ๔๗ ปี เพื่อมาดูแลพิพิธภัณฑ์ได้เต็มที่ ฝึกทบทวนการแสดงโนราจากแม่หนูวิน โนรายก ชูบัว ก่อตั้ง “บ้านสืบสานตำนานโนราเติมวินวาด”(ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์มีชีวิตโนราเติม วิน วาด) ตั้งอยู่ที่ ๓๘ หมู่ที่ ๔ หมู่บ้านสงขลาลากูน่า ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
สภาพปัญหาในปัจจุบันคือ ผู้ดูแลหลักอายุมากแล้วและมีโรคประจำตัว ไม่สามารถจะแบกรับภารกิจอันหนักหนาสาหัสนี้ได้อย่างเต็มที่อีกต่อไปในระยะยาว ประการต่อมาที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ประสบปัญหาน้ำท่วมสร้างความเสียหายทุกปี บางปีท่วมถึงสองสามครั้งติดต่อกัน ประการที่สามขาดผู้สืบทอดในรุ่นต่อไปด้วยข้อจำกัดบางประการ
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นคณะกรรมการที่มีเพียง ๓ คนจึงหารือกันว่าจะติดต่อประสานงานหาหน่วยงานทางราชการทั้งในท้องถิ่น ภูมิภาคและส่วนกลางมารองรับดูแลในระยะยาว แต่เท่าที่ประเมินสถานการณ์เบื้องต้นทั้งโดยประสบการณ์ร่วมและภาวะเผชิญหน้าค่อนข้างจะมืดมน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทางวัฒนธรรม สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ ฯลฯ ทั้งๆ ที่ทายาทยินดีจะบริจาคทั้งมรดกตกทอดของโนราเติม วิน วาด บ้านที่ดินและทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนกิจการของพิพิธภัณฑ์อย่างเต็มที่
ไม่คิดไม่ฝันว่าในบั้นปลายชีวิตที่อยากจะพักผ่อน ทำงานสร้างสรรค์ตามที่ใฝ่ฝันไว้จะต้องเข้ามาแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงเช่นนี้ แต่ก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของชาวใต้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม เราก็ได้พยายามแล้ว.