หนังสือพิมพ์ภูมิภาค รายสัปดาห์ ของคนใต้ ปีที่ 26 ฉบับที่ 1,329 วันที่ 1 – 7 เมษายน 2567

ขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิตชาวสงขลา(๕) ก่อน พ.ศ. 2504 หรือก่อนประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ(และสังคม)แห่งชาติ ฉบับแรก สถาบันครอบครัวชาวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ทั้งชุมชนชาวประมง ชุมชนชาวนา ชุมชนชาวสวน และ พ่อค้าต่างนิยมใช้ “เพลงกล่อมเด็ก” หรือ “เพลงร้องเรือ” หรือ “เพลงน้องนอน” หรือ “เพลงชาน้อง” หรือ ”เพลงช้าน้อง” หรือ “เพลงเสภา” กล่อมให้เด็กนอนหลับเร็ว และหลับสนิท (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. 2542 : 5522-5525) ได้ศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับสารัตถะของเพลงกล่อมเด็กภาคใต้
สรุปสาระสำคัญได้ว่า ร้อยละ 75 ของเพลงกล่อมเด็ก ที่มีในภาคใต้เป็นบทเพลงที่แตกต่างกันด้วยบริบทและสาระปลีกย่อย อันแสดงถึงความแตกต่างที่เกิดจากการแพร่กระจายของบทต้นแบบทั้งที่เกิดโดยจงใจและที่เป็นไปตามธรรมชาติของการสืบทอด ซึ่งห่างไกลกันด้วยระยะเวลาและปรับเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ และสถานที่ที่ปรากฏข้อมูล ฉันทลักษณ์หรือรูปแบบของการแต่งเป็นบทกลอนชาวบ้าน 1 บทมี 8 วรรค ร้องเกริ่นนำด้วยคำว่า

“ฮาเอ้อ” ตามด้วยคำในวรรคแรกแล้วจบวรรคแรกด้วยคำว่า “เหอ” คำขึ้นต้นนิยมใช้ทั้งคำที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมที่ง่ายแก่การเข้าใจ เช่น ชื่อสัตว์และพืช ในท้องถิ่น ได้แก่ กล้วย (มะ)พร้าว หมาก ขนุน โตนดไผ่ โกงกาง หญ้าคา ส้มโอ แบก เมละ/เมล่(มะลิ) ไก่เถื่อน
นกจอก นกแอ่น มูสัง ช้างโขลง นามธรรม ได้แก่ แค้นใจ เจ็บใจ รักกัน หนักอก เป็นต้น เนื้อหาสาระ มีดังนี้

- ขับกล่อมเพื่อช่วยให้เด็กหลับเร็วและหลับสนิท มุ่งให้เด็กเกิดความอบอุ่นทั้งทางกาย และทางจิตใจโดยเฉพาะ เช่น
ขวัญอ่อนเหอ นอนให้เป็นสุข
แม่ไม่มาปลุก อย่าลุกรบกวน
ฟูกหมอนแม่ตั้ง รองหลังนิ่มนวล
อย่าลุกรบกวน ขวัญอ่อนเจ้านอนเปล - เชิงให้ความรู้และความคิดเพื่อเป็นการอบรมสั่งสอนทางอ้อมและนำไปปฏิบัติ หรือครองตน
ในทางที่ถูกที่ควร ตลอดจนให้รู้สภาพหรือเหตุการณ์ของบ้านเมืองและสังคม อันจะเกิดจากความประทับใจหรือมีเจตนาสื่อสารโดยตรงและมีเจตนาต่อผู้ร่วมฟังมากกว่าเด็กทารก เช่น
แต่งงานเหอ อยู่กันดีดี
อย่าตบอย่าตี อย่าโกรธอย่าขึ้ง
เอาใจกันไว้ ไม่ให้หายสูญ
มีลูกมีมูล ไม่สูญไม่สิ้นไปไหน - มีเจตนาจะให้ความบันเทิงเพื่อให้เกิดอารมณ์ขันโดยตรง เช่น
ชาวปราน เหอ มานั่งเซ้อยอดลานที่หน้าท่า
ลมพัดเปิดผ้าอ้ายไหรราหร้าเหมือนรากไทร หนิจจาชาวปราน มานั่งเซ้อยอดลานให้คนเห็นไข
อ้ายไหรราหร้าเหมือนรากไทร ไปแล้วอย่ามาเหลย
4.ปลูกฝังคุณธรรมแก่เยาวชน เช่น
ชาฝิ่นเหอ อย่ากินมากนักเลยพ่อเนื้อทอง
ต้องจำต้องจอง ต้องเขอต้องคาเพราะยาฝิ่น
อยากกล้วยอยากอ้อย น้องสาวน้อยจะเซ้อให้กิน
ต้องเขอต้องคาเพราะยาฝิ่น นั่งไหนโหนอนนั่น - ปกปักรักษาปทัสถานของสังคม ให้อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีและจรรโลงศาสนา เช่น
ขันหมากเหอ ลอยมาสามขัน
ขันหมากพระจันทร์ ไหนหัวไหนท้าย
ไหนขันหมากขอ ไหนขันหมากไหว้
ไหนหัวไหนท้าย บอกให้น้องรู้ด้วย - ปกป้องสิทธิและหน้าที่อันพึงมีพึงได้โดยชอบธรรม เช่น
แม่ไกเหอ แม่ไกหางหลุ้น
ข้าหลวงออกมาวุ่น ชันชีจับเด็ก
จับสิ้นสาวสาว บาวบาวไว้ทำมหาดเล็ก
ชันชีจับเด็ก จับสิ้นทั้งเมืองนี้
บทเพลงที่ใช้กล่อมเด็กแพร่หลายระหว่างประมาณ พ.ศ. 2450-2490 เดิมส่วนมากแต่งขึ้นมีเจตนาจะให้มีบทบาทหน้าที่อย่างอื่นด้วย เช่น ใช้ใน
การอบรมสั่งสอน ตัดพ้อต่อว่า กระทบกระทั่งเปรียบ
เปรย ระบายความรู้สึก และความคับข้องใจ ตลอดจน
เป็นเครื่องบันเทิงใจของผู้ขับกล่อม โอกาสที่ขับกล่อม
ยังใช้เป็นเพลงปฏิพากย์ ร้องโต้ตอบ แก้คารมกัน
ท่ามกลางผู้ฟังจำนวนมากๆอีกด้วย
บทเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ จึงมีความหลากหลายทั้งจำนวนและเนื้อหาสาระ บทที่มีใจความลึกซึ้งเกินกว่าเด็กเล็กและคนทั่วๆ ไปจะเข้าใจได้ดี
ก็มีเป็นจำนวนมาก
หลังปี พ.ศ. 2490 ความนิยมในการร้องเพลง
กล่อมเด็กค่อยเสื่อมคลายลงตามลำดับ จนถึงปัจจุบัน วัฒนธรรมการกล่อมเด็กกำลังจะสูญหายไป
บทบาทและหน้าที่ของเพลงกล่อมเด็กค่อยแคบและเสื่อมคลายลงตามความนิยมในการขับกล่อม คงเหลือเพียงร่องรอยของอดีตในรูปพิพิธภัณฑ์ทางคติชน
ครอบครัวชาวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ผลักภาระหน้าที่ในการดูแลเด็กวัยอ่อนให้กับสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนและโรงเรียนอนุบาลที่มีรัฐบาลเป็นผู้จัดทำเป็นต้นแบบและมีเอกชนเป็นหลักในการจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่งเป็นวัยสำคัญที่สุดของมนุษย์ ทั้งการพัฒนาของสมองและบุคลิกภาพทางสังคม
ซึ่งประเทศญี่ปุ่นถึงกับกล่าวว่า “รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” แต่ประเทศไทยรอจนถึงอุดมศึกษาและหลังอุดมศึกษาจึง “ปัจฉิมนิเทศ” เพื่อพัฒนา “ความเป็นมนุษย์”
หน้าที่ของศาสนาต่อบุคคลสังคมคือ 1) เป็นปัจจัยช่วยทำให้เกิดความสงบทางใจและนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี 2) ให้ความรู้สึกมั่นคง ปลอดจากความ
กลัวและความวิตกกังวล 3) ให้พลังใจ 4 ) เป็นปัจจัยช่วยให้คนจัดระเบียบชีวิตและมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ 5) เป็นแรงเสริมในการจัดระเบียบสังคม 6)
ช่วยสร้างค่านิยม บรรทัดฐานของสังคม 7) ยึดเหนี่ยว
สังคมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ณรงค์ เส็งประชา. 2541 : 97-102)
สำหรับลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จากการศึกษา
ของสุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2523 : 1-7) เกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของการนับถือพุทธศาสนาของพุทธ
ศาสนิกชนและบทบาทของสถาบันศาสนาแถบลุ่มทะเลสาบสงขลาฝั่งตะวันออก อันหมายถึงบริเวณคาบสมุทรพระ ปัจจุบันคือบริเวณตั้งแต่อำเภอระโนด
อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ และอำเภอ
สิงหนคร พบว่า ภาคใต้ของประเทศไทยเป็นแหล่งที่
พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมายาวนาน พุทธ
ศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อชาวใต้อย่างลึกซึ้งและเหนียวแน่น ค่านิยมพื้นฐานของชาวใต้ส่วนใหญ่มีขึ้น อัน
เนื่องมาแต่ลักษณะของสังคมเกษตรกรรม
อันประกอบด้วย วัฒนธรรมพุทธศาสนา ชาวใต้
ใช้วัดเป็นดั่งที่เกิดและที่เรียนรู้ศิลปะ ทรรศนะวิชาวิทยาศาสตร์และศีลธรรม วรรณกรรมทางพุทธศาสนา ตลอดจนประเพณีทางพุทธศาสนาคือสถาบันที่ให้การศึกษา ทั้งด้านมโนธรรม และด้านพฤติกรรมของชาวใต้
วัฒนธรรมทางพุทธศาสนา เป็นยอดของความรู้ และความเห็นเพราะมีวัฒนธรรมทางทรรศนะวิชา มีอรรถธรรม ประกอบด้วย อรรถรส และเหตุผลตาม
ระบอบประชาธิปไตย พุทธศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อพุทธศาสนิกชนทั้งทางพฤติกรรมและวัฒนธรรมทางศิลปกรรม มีพลังในการเสริมสร้างและพัฒนาบุคคลและสังคมไทยในอดีต แต่ปัจจุบันพลังอันเกิดจากวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาถูกปล่อยปละละเลยให้เสื่อมประโยชน์
วัฒนธรรมพื้นบ้านแถบลุ่มทะเลสาบสงขลาฝั่ง
ตะวันออก มีเค้าเงาของวัฒนธรรมทางศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา เช่น ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
และสามานยนามต่างๆ มีคำภาษาบาลีและสันสกฤตปะปนอยู่มากมาย วัฒนธรรมทางพุทธศาสนามีผลต่อการหล่อหลอมศาสนิกชนให้มีค่านิยม โลกทรรศน์
และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เช่น การมีเมตตา
ธรรม คารวธรรมและสามัคคีธรรม เป็นต้น
ความเชื่อที่สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระพุทธคุณ ความเชื่อเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทที่วัดราชประดิษฐาน บนยอดเขาพะโคะ อำเภอสทิงพระ
ความเชื่อเรื่องบุญกุศล เช่น การทำบุญ การสร้างบุญ
โดยวิธีให้ทาน การไปวัดฟังเทศน์ การทำงานให้วัด
การเมตตากรุณาแก่สัตว์ การไปทำบุญในวัด การสร้าง
สิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ การสร้างเจดีย์และโบสถ์วิหาร การหมั่นบูชาพระรัตนตรัย เป็นต้น ความเชื่อเรื่องชาติ-ภพ ความเชื่อเรื่องอักขระในพระธรรมบท
ส่วนวัฒนธรรมด้านภาษาอันเนื่องมาจากพุทธศาสนา ได้แก่ คำสำนวนอันสะท้อนจากวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา เช่น “ขอหมามีบาป” แสดงให้เห็นว่า
มีความเกรงกลัวต่อบาป, “เข้าพร้อมตอก ออกพร้อมต้ม” แสดงว่าเป็นศิษย์วัดที่เห็นแก่กินหรือหมายถึงพระที่บวชเข้าพรรษาแล้วลาสิกขาบทในวันออกพรรษา, “บาปอยู่ที่ผู้ทำ กรรมอยู่ที่ผู้ใช้” แสดง
ให้เห็นว่า “กรรม” มีโทษหนักกว่า “บาป”
“ทำไหร ถามพระเสียมั่ง” ทำอะไรให้ปรึกษาหารือกับผู้รู้เสียก่อน, “กินข้าววัด นอนหลา ห่มผ้าผี”
หมายถึง คนที่อาศัยแต่ผู้อื่นอยู่ร่ำไป แสดงให้เห็นว่า
วัดเป็นสถานที่ที่ให้การสงเคราะห์แก่ทุกคน
“กลองโนรา กลองหนัง ดังหวากลองวัด” หมายความว่า เอาแต่สนุกสนานบันเทิง ไม่สนใจการบุญการกุศล, “พีเหมือนหมาวัด” แสดงให้เห็นว่า
วัดสถานที่ให้ความเมตตาแก่สัตว์หรือวัดมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยศรัทธาของประชาชน, “รำในวร” หมายถึงสนุกสนานจนลืมตัวหรือไม่เหมาะสมกับสถานภาพ, “บวชให้พอหลวงยายเรียกเณร” หมายถึง บวชแบบขอไปที ไม่เข้าพรรษา ไม่ศึกษาธรรมะหรือไม่ได้ศรัทธาแต่อย่างใด
“ฉีกขากรวมเปรว” หมายถึง กีดกันผู้อื่น โดย
ไม่สมควร(ฉีกขาคร่อมป่าช้า), “เข้าหวางวัด หวางบ้าน” คือครึ่งๆ กลางๆ ภิกษุก็ไม่เป็น ฆราวาสก็ไม่ใช่, “ไม่รู้จักหวันวันรก” หมายถึง ไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว, “ช่วยกันเหมือนงานวัด” ช่วยกันเต็มที่, “คนจนกิน
น้ำมนต์พ่อท่าน คนมีกินหีชาวบ้าน” หมายถึง คนจน
มักยึดเอาทางพระเป็นที่พึ่ง ต่างกับคนมีมักลุ่มหลงในกามคุณและมักประพฤติผิดทางกาม, “นโมไหม้สักงอ” หมายความว่า ไม่รู้เรื่องธัมมะธัมโมแม้แต่น้อย
เป็นคนเปล่าประโยชน์ ขาดสติ ขาดความคิด, “เกาะ
ชายผ้าเหลือง” หรือ “ยุงชายวร” หมายถึง พลอยรับ
ส่วนบุญส่วนกุศลจากการบวชของญาติมิตร
นอกจากนั้น มีถ้อยคำภาษาอันเกิดแต่ภาษาบาลี-สันสกฤต ได้แก่ “สำหรุด” มาจาก สัปปบุรุษ เรียกอุบาสกที่ครองสัมมาทิฐิดั่งนักบวช โดยมากมักเป็นผุ้สูงอายุ จึงเรียกว่า ตาสำหรุด, “เณร” มาจาก
คำว่า สามเณร ความหมายเดิมหมายถึงเหล่ากอของ
สมณะ, “สะหมี” มาจาก สามี ดัดแปลงมาจาก ธรรม
สามี หมายถึง เจ้าของแห่งธรรมะ