Home » ข่าว » ป.ป.ช.ชี้มูลทุจริตรถเก็บขยะ“นายกไพร”กับพวก14คน-บ.ผู้รับจ้าง

ป.ป.ช.ชี้มูลทุจริตรถเก็บขยะ“นายกไพร”กับพวก14คน-บ.ผู้รับจ้าง

ป.ป.ช. แถลงมติเอกฉันท์ ขี้มูลอดีต “นายกไพร” กับพวก 14 คน พร้อมบริษัทผู้รับจ้าง ทุจริตนำรถหลวงให้เอกชนใข้เก็บขยะ

วันนี้ (12 มีนาคม 2567) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก สำนักงานป.ป.ช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายไพร พัฒโน อดีตนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ กับพวก กรณี นำรถยนต์ของเทศบาลนครหาดใหญ่ไปให้ผู้รับจ้างใช้เก็บใช้เก็บขยะมูลฝอยโดยมิชอบ

โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ปรากฎว่า นายไพร พัฒโน ในฐานะนายกเทศมนตรีฯ ได้ทำสัญญาจ้างเอกชน จัดเก็บขยะมูลฝอย โดยมีข้อกำหนดและขอบเขตงานว่า ผู้รับจ้างต้องจัดหารถยนต์เก็บขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นรถใหม่และไม่เคยใช้งานมาก่อนให้มีจำนวนเพียงพอ

และก่อนปฎิบัติงานตามสัญญา ผู้รับจ้างจะต้องนำรถยนต์เก็บขยะมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เทศบาลนครหาดใหญ่ เพื่อตรวจสอบก่อน ก่อนที่เริ่มปฎิบัติงานตามสัญญา แต่ผู้รับจ้างก็มิได้จัดหารถยนต์เก็บขยะมูลฝอยแสดงต่อเจ้าหน้าที่เทศบาลนครหาดใหญ่ตามข้อกำหนดและขอบเขตงาน โดยผู้จัดการและผู้ได้รับมอบอำนาจจากผู้รับจ้างให้ทำสัญญาและดำเนินการตามสัญญาในฐะนะ ตัวแทนผู้รับจ้างนำรถยนต์ส่วนกลางของงานรักษาความสะอาด เทศบาลนครหาดใหญ่ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้และรักษารถยนต์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 ไปจัดเก็บขยะมูลมูลฝอยตามสัญญาจ้างจัดเก็บขยะมูลฝอย เพื่อประโยชน์ของผู้รับจ้าง ดังนี้

1 สัญญาจ้างเหมาเอกชนจัดเก็บขยะมูลฝอย ที่ 106/2550 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2550 มัการนำรถยนต์ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ไปเก็บขยะจำนวน 13 คัน โดยจัดเก็บขยะได้ 3,555.46 ตัน เมื่อคูณกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของรถยนต์ต่อคัน จึงเป็นการจ้างค่าจ้างโดยผู้รับจ้างนำรถยนต์ ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ไปใช้เป็นเงิน 1,847,701.45 บาท

  1. สัญญาจ้างเหมาเอกชนจัดเก็บขยะมูลฝอยที่ 1/2551 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2550 ผู้รับจ้างนำรถยนต์ ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ไปเก็บขยะจำนวน 10 คัน โดยจัดเก็บขยะได้ 2,060.5 ตัน เมื่อคูณกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของรถยนต์ต่อคัน จึงเป็นการจ่ายค่าจ้างโดยผู้รับจ้างนำรถยนต์ของเทศบาลนครหาดใหญ่ไปใช้ เป็นเงิน 1,070,852.61 บาท 3 สัญญาจ้างเหมาเอกชนตัดเก็บขยะมูลฝอย ที่ 25/2551 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2550 ผู้รับจ้างนำรถยนต์ ของเทศบาลนครหาดใหญ่ไปเก็บขยะจำนวน 4 คัน โดยจัดเก็บขยะได้ 2,190 ตัน เมื่อคูณกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของรถยนต์ต่อคัน จึงเป็นการจ่ายค่าจ้างโดยผู้รับจ้างนำรถยนต์ของเทศบาลนครหาดใหญ่ไปใช้ เป็นเงิน 1,138,546.12 บาท

ดังนั้น การนำถยนต์ส่วนกลางไปใช้จัดเก็บขยะมูลฝอยดังกล่าว อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อผู้รับจ้าง โดยเฉพาะไม่ใช่เพื่อกิจการอันเป็นส่วนรวมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเป็นประโยชน์ต่อราชการ จึงไม่ชอบด้วยระเบียบ กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้และรักษารถยนต์ขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 เป็นเหตุให้เทศบาลนครหาดใหญ่ได้รับความเสียหาย เป็นค่าซ่อมบำรุง ค่าจัดเก็บขนขยะ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ส่วนกลางที่ผ่านมา ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2550 ถึงเดือน กันยายน 2551 ดังนี้

1 ค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าซ่อมรถ จำนวน 5 คันมีรายงานการ้บิกค่าซ่อมรถ 91,247.59 บาท
2. ค่าเสียหายจากการเก็บขนขยะ โดยใช้รถยนต์ของเทศบาลนครหาดใหญ่ โดยคิดคำนวณจากต้นทุนค่าจัดเก็บขยะตามรายละเอียดข้อกำกนด และขอบเขตของงาน(TOR) ในส่วนของค่าเสื่อมของรถในราคาคันละ 514.68 บาทโดยใช้รถของเทศบาลนครหาดใหญ่เก็บขนทั้งสิ้นปริมาณ7,806.46 ตัน คิดเป็นเงินจำนวน 4,057,040 บาท
3 ค่าเสียหายในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งพบรถที่เบิกจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 5 คัน เป็นเงินที่เบิกจ่ายจำนวน 402,504.10 บาท

และเมื่อนำรถยนต์ส่วนกลาง ไปใช้โดยมิชอบดังกล่าว เป็นเวลากว่า 1 ปี จึงเชื่อได้ว่า นายไพร พัฒโน ในฐานะนายกเทศมนตรีกับพวกประกอบด้วย รองนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่, ปลัดเทศบาลนครหาดใหญ่, ผู้อำนวยการสำนัก การสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม, ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการสาธารณสุข, เจ้าหน้าที่งานรักษาความสะอาด มีหน้าที่รักษารถยนต์ส่วนกลาง รวมถึงกรรมการตรวจการจ้างเอกชนจัดเก็บขยะ ได้ทราบข้อเท็จจริงและยินยอมให้ผู้รับจ้างนำรถยนต์ ส่วนกลางไปใช้โดยไม่ชอบ เป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้รับจ้าง ทำให้เทศบาลนครหาดใหญ่ได้รับความเสียหาย

โดยคณะกรรมการปปชพิจารณาลาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า
1. การกระทำของนายไพร พัฒโน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนายรุ่งโรจน์ กั่วพาณิชย์ ผู้ต้องหาที่ 2 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยสุดทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 และมีมูลความผิด ฐานปฏิบัติการฝ่าฝืน ต่อความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชน ละเลยไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือมีความประพฤติในทาง จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่เทศบาล หรือแก่ราชการ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 93 สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 ใด้ขาดอายุความ แล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ( 6) ให้ยุติการดำเนินคดี ตามฐานความผิดดังกล่าว

  1. การกระทำของนายสุรชาติ เล็กขาว ผู้ถูกกล่าวหา ที่ 3 นายบรรจงร่มสงค์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 นายอุดมศักดิ์ โป๊ะบุญชื่น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 และนายวัชระ มีทอง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ทหารปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยตรงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาล ตามประกาศคณะกรรมการ พนักงานเทศบาล จังหวัดสงขลา เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องขทุกข์ ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 6 วรรคสอง

สำหรับความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธิ์นำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ( 6 ) ให้ยุติ การดำเนินคดี ตามฐานความผิดดังกล่าว

3. การกระทำของบริษัท ร่วมค้า Advance Tech International จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และนายวีระชัย สิงขรัตน์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 91

สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 91 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญามาตรา 39 (6) ให้ยุติการดำเนินคดี ตามฐานความผิดดังกล่าว

  1. การกระทำของนายชัยวัฒน์ โพธิพงศา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 9 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาล ตามประกาศคณะกรรมการ พนักงานเทศบาลจังหวัดสงขลา เรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 6 วรรคสอง สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธิ์นำคดีอาญามาฟ้อง ย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ( 6) ให้ยุติการดำเนินคดี ตามฐานความผิดดังกล่าว
  2. การกระทำของจ่าสิบเอก บรรจิต ปานรังศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 มีมูลความผิดทางอาญา ศาลเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตร 91 และ มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาล ตามประกาศคณะกรรมการ พนักงานเทศบาลจังหวัดสงขลา เรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 6 วรรคสอง สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธิ์นำคดีอาญามาฟ้อง ย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ( 6) ให้ยุติการดำเนินคดี ตามฐานความผิดดังกล่าว
  3. ส่วนนายคนึง พูลชัย ผู้ถูกกล่าวหาที่ 11 จ่าสิบตำรวจ โสภณ สุทธินิยม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 12 นายวิรัตน์ แกล้วทนงค์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 13 และนายบุญยืน สมพงษ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 14 จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏพยานหลักฐาน เพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
  4. สำหรับนางสาวจุไร แก้วมณี เห็นว่า แม้นางสาวจุไร แก้วมณี ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ กรรมการตรวจการจ้าง จะได้รายงานว่า มีการนำรถยนต์ส่วนกลาง ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ไปให้ผู้รับจ้าง ใช้งานเก็บขยะมูลฝอย ก็ตาม แต่นางสาวจุไร แก้วมณี ก็ได้ลงนามในใบตรวจรับงาน จ้างว่า ผู้รับจ้างได้ดำเนินการจัดเก็บขยะมูลฝอย ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาจ้างถูกต้องแล้ว ให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอน ดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ 2561 มาตรา 64

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา ในศาล ซึ่งมีเขตอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดี กับนายไพร พัฒโน นายรุ่งโรจน์ กั่วพาณิชย์ นายสุรชาติ เล็กขาว นายบรรจง ร่มสงค์ นายอุดมศักดิ์ โป๊ะบุญชื่น นายวัชระ มีทอง บริษัท ร่วมค้า Advance Tech International จำกัด นายวีระชัย สิงขรัตน์ นายชัยวัฒน์ โพธิพงศา และจ่าสิบเอก บรรจิต ปานรังสี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *