Home » ข่าว » ผลวิจัย ม.อ เผยผู้ป่วยปอดจากโควิด19 มีความเสี่ยงเป็นวัณโรคปอด

ผลวิจัย ม.อ เผยผู้ป่วยปอดจากโควิด19 มีความเสี่ยงเป็นวัณโรคปอด

.ผลวิจัย ม.อ. พบว่า “ในพื้นที่มีการระบาดของวัณโรค ผู้ป่วยปอดบวมจากโควิด-19 มีความเสี่ยงเป็นวัณโรคปอด” ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับโลก

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้มีการจัดงานแถลงข่าวผลวิจัย ม.อ พบว่า ในพื้นที่มีการระบาดของวัณโรค ผู้ป่วยปอดบวมจากการติดเชื้อโควิด-19 มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอด

ผลงานวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในพื้นที่มีการระบาดของวัณโรค ผู้ป่วยปอดบวมจากการติดเชื้อโควิด-19 มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอด โดยผลวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร eClinicalMedicine ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ ในเครือ Lancet ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ผลวิจัยนี้เป็นผลงานของ ดร.นพ.พลกฤต ขำวิชา สาขาวิชาระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยมี ศ.นพ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ ประธานหลักสูตร สาขาวิชาระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยจากข้อมูลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการปอดอักเสบ มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคสูงถึง 7 เท่า ของคนปกติ โดยศึกษาจากข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 ในช่วงปี 2564 ที่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า และ อัลฟ่า ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 12 ซึ่งประกอบด้วย 7 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา จำนวนประมาณ 2 หมื่นกว่าคน โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลในการทำวิจัยจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และทุนวิจัยจาก National Institutes of Health (NIH) ประเทศสหรัฐอเมริกา

ดร.นพ.พลกฤต ขำวิชา ได้กล่าวถึงที่มาของการทำวิจัยในครั้งนี้ว่า ได้ดำเนินโครงการวิจัยเก็บข้อมูลการติดตามการกินยารักษาวัณโรคประมาณต้นเดือนมกราคม 2565 จากประวัติการรักษาคร่าวๆ ของผู้ป่วยที่เป็นอาสาสมัครทุกเคส พบว่า ผู้ป่วยวัณโรคส่วนใหญ่มักมีประวัติเคยรับการรักษาโควิด-19 แบบผู้ป่วยใน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคนไทยประมาณ 1 ใน 3 มีการติดเชื้อวัณโรคแต่ไม่มีอาการใดๆ และไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น เรียกว่าเป็นวัณโรคแฝง ประเทศไทยจึงยังเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของวัณโรคอยู่ แม้ในชีวิตประจำวันจะไม่ค่อยเห็นใครเป็นวัณโรคบ่อยนัก เพราะภูมิคุ้มกันของคนปกติทั่วไปสามารถควบคุมวัณโรคไม่ให้ก่อโรคได้ จึงเกิดความสงสัยว่าโควิด-19 อาจทำให้คนที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง จากความล้าของภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะเคสที่มีปอดบวมร่วมด้วย ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นวัณโรคมากกว่าคนทั่วไป จึงนำข้อมูลการลงทะเบียนทั้งโรคโควิด-19 และวัณโรค มาศึกษาย้อนหลังเพื่อเปรียบเทียบอุบัติการณ์การเป็นวัณโรคปอดในผู้ป่วยปอดบวมจากโควิด-19 ที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว กับอุบัติการณ์การเป็นวัณโรคปอดในคนทั่วไปที่ยังไม่มีหลักฐานว่าเคยติดเชื้อโควิด-19 โดยติดตามข้อมูลผู้ป่วยทุกรายอย่างน้อย 6 เดือน พบว่า ผู้ป่วยปอดบวมจากโควิด-19 หลังได้รับการรักษาจนหายดีและออกจากโรงพยาบาลแล้ว มีความเสี่ยงที่จะเป็นวัณโรคปอดได้มากกว่าคนทั่วไป 7 เท่า

ด้าน ศ.นพ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ ประธานหลักสูตร สาขาวิชาระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย กล่าวว่า จากข้อมูลคนที่เป็นโควิดจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น7เท่าของความเสี่ยงเดิมเรื่องอายุไม่ใช้ตัวชี้วัดอยากฝากให้ผู้ป่วยที่รู้ว่ามีอาการปอดบวมระมัดระวังตัวเองมีอาการไอรีบไปพบแพทย์ คนที่ไม่มีอาการอยากเสนอกระทรวงสาธรณะสุขและสปสช. ค่อยๆนำมาตรวจเลือดดูมีการติดเชื้อวัณโรคแฝงหรือป่าว ถ้ามีให้นำมาตรวจเลือดว่าเขาติดเชื้อวัณโรคแฝงอยู่หรือป่าวถ้ามีควรได้รับการบำบัดวัณโรคแฝง วัณโรคแฝงหากไม่รักษาก็จะทำให้เป็นวัณโรคอีกได้ คนที่เป็นโควิดและเป็นวัณโรคจะต้องดูแลเขาเป็นพิเศษ ถ้าไม่รักษาเลยจะทำให้คนหนึ่งคนแพร่ไปอีก9คนใกล้เคียงกับการติดเชื้อโควิดเลยเเต่เชื้อโควิดจะเห็นผลเร็วการติดเชื้อวัณโรคจะเห็นผลช้า วัณโรคเป็นโรคที่ยังคงเป็นปัญหาในประเทศไทย แต่เป็นโรคที่รักษาหาย และไม่ใช่โรคที่น่ากลัว เมื่อรู้ว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค ต้องได้รับการรักษาโดยเร็วตั้งแต่เริ่มต้น และมีการตรวจคัดกรอง ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค โดยหลักๆ เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และ ผู้ป่วยเบาหวาน จากผลการวิจัยนี้ พบว่า ผู้ป่วยปอดบวมจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน ซึ่งผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรจะต้องดูแลตัวเองให้ดี และไปพบแพทย์เพื่อติดตามอาการต่อเนื่อง และระบบสาธารณสุขก็ต้องดูแลบุคคลกลุ่มนี้เป็นพิเศษ

รายละเอียดงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ https://www.thelancet.com/journals/eclinm/article/PIIS2589-5370(23)00002-0/fulltext

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *