Home » ข่าว » เลิกเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำปากอ่าวรับพัฒนาท่าเรือน้ำลึก-ท่องเที่ยวสงขลา

เลิกเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำปากอ่าวรับพัฒนาท่าเรือน้ำลึก-ท่องเที่ยวสงขลา

คณะกรรมการประมงประจำหวัดสงขลา ยกเลิกเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำบริเวณปากอ่าวสงขลา (ท่าเรือน้ำลึกสงขลา) รองรับการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันท่าเรือน้ำลึกสงขลา-การท่องเที่ยวในอนาคต ที่สามารถรองรับเรือสำราญ กำหนด 9 จุดเขตพื้นที่รักษาพันธ์สัตว์น้ำ พ.ศ.2566

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 ณ ห้องประชุม CEO ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายกองเอก พุทธ กฤชคงพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประมงประจำหวัดสงขลา ครั้งที่ 1/2566
นายเจริญ โอมณี ประมงจังหวัดสงขลากรรมการและเลขานุการคณะกรรมการประมงประจำหวัดสงขลา เผยว่า มีการพิจารณายกเลิกเขตรักษาพืชพันธุ์ พ.ศ.2525 และการกำหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำ พ.ศ.2566
“เขตรักษาพืชพันธุ์ พ.ศ.2525 กำหนดให้เป็นพื้นที่ ๆ ห้ามทำการประมงทุกชนิด เพื่อรักษาพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลทั้งเป็นแหล่งพ่อแม่พันธุ์” นายเจริญ กล่าว และว่า

ในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ ๆ กำหนดเดิม บางพื้นที่มันไม่มีแผนที่ไม่ชัดเจน อาจจะทำให้เกิดความสับสน กรมประมงจึงให้ทำแผนที่เพื่อประกาศขึ้นมาใหม่ โดยมีการกำหนดพื้นที่ จุด พิกัดที่ชัดเจนขึ้น
โดยในจังหวัดสงขลามีกำหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำ พ.ศ.2566 มีทั้งหมด 10 จุด หรือ 10 พื้นที่ มีทั้งในแหล่งน้ำจืดและในทะเล รวมถึงในทะเลสาบ ซึ่งคณะกรรมการฯมีอำนาจในการพิจารณา
จึงยกร่างเพื่อนำเสนอกรมประมง เสนอรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป โดยปรับปรุงพื้นที่เดิมตามกำหนดเขตรักษาพืชพันธุ์ พ.ศ.2525 เป็นหลัก โดยผ่านกระบวนการเวทีประชาคม

“แต่มีการยกเลิก 1 พื้นที่ ก็คือพื้นที่ปากอ่าวสงขลาหรือท่าเรือน้ำลึกสงขลา เนื่องจากมีการสัญจรของเรือ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำอีกต่อไป”
ทำให้การกำหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำ พ.ศ.2566 ของจังหวัดสงขลาเหลือ 9 จุด หรือ 9 พื้นที่ ๆ มีการปรับปรุงแผนที่ให้ชัดเจนขึ้น

โดยเนื้อหาสาระของการกำหนดเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำ พ.ศ.2566 กับเขตพื้นที่รักษาพืชพันธุ์ พ.ศ.2525 ไม่ได้แตกต่างกันมาก สาระสำคัญ ๆ ยังเหมือนเดิม
โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้มีแผนที่ประกอบ เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ต่างจากของเดิมที่อาจจะยังไม่ชัดเจน เช่น ทิศเหนือจดหมู่นั้น หมู่นี้ ไม่ค่อยชัดเจน

ทำให้เวลามีชาวประมงมาทำประมงในเขตอนุรักษ์ ทำให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายค่อนข้างลำบาก เนื่องจากความไม่ชัดเจนของพื้นที่ว่าอยู่ในเขตหรือนอกเขต
“การกำหนดใหม่จะทำให้มีความชัดเจนขึ้น และชาวบ้านก็จะได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน และจะไม่เกิดความสับสนของชาวบ้านในพื้นที่”

สำหรับกระบวนการหลังจากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการประมงประจำหวัดสงขลา ก็จะนำเสนอไปยังกรมประมงเพื่อข้อกฎหมาย ดูรายละเอียดว่าครบถ้วนหรือไม่
หลังจากนั้น ก็นำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)อนุมติหลังจากนั้นก็จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้
นายหิรัญวัตติ์ สืบกระพันธ์ ผจภ.๔(สข.) กล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ.2525 กฎหมายที่ออกมาเป็นกฎหมายเก่าของพ.ร.บ. การประมง พ.ศ.2490 ซึ่งเป็นการสงวนเป็นหลักไม่มีข้อยกเว้นในการอนุญาตให้จับสัตว์น้ำ หรือกระทำการใด ๆ เปลี่ยนแปลงซึ่งการจับสัตว์น้ำ ตั้งแต่ พ.ศ.2525 ในขณะที่วิวัฒนาการการพัฒนาเมืองหรือการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะกิจการพาณิชย์นาวี ซึ่งตอนที่มีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา แล้วก็มีการลงทุน ซึ่งทางบริษัทคู่สัญญาดำเนินปรับปรุงท่าเรือ

“ที่สำคัญก็คือ มติครม.เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่ต้องการให้ท่าเรือน้ำลึกสงขลาเป็นศูนย์กลางของการกระจายสินค้าของภาคใต้”
โดยให้มีการขุดลอกร่องน้ำประกันความลึกท่าเรือน้ำลึกสงขลา 9 เมตร เพื่อที่จะรองรับเรือที่กินน้ำลึกมากขึ้น และสามารถขนตู้คอนเทนเนอร์ได้มากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจมวลรวมดีขึ้น
ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ เช่น นักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน (มาเลเซีย) ที่สนใจเข้ามาลงทุนในพื้น ซึ่งทำให้เจตนารมย์ของกฎหมายที่แตกต่างกันไม่ให้ขัดหรือแย้ง
จึงหมดความจำเป็น และมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องยกเลิก เปลี่ยนพื้นที่จับสัตว์น้ำตรงนี้ ประกอบกับมีวิถีชีวิตเป็นการช้านานที่เขามีเครื่องมือทำการประมงที่เรียกว่า โพงพาง ทำมาหากินอยู่แล้ว
ประกอบการมีการสันทนาการในการตกปลา หรือการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพันธุ์สัตว์น้ำบริเวณดังกล่าวที่บริเวณปากอ่าวสงขลา

จึงรับฟังได้ว่าหมดเหตุผลความจำเป็นที่จะอนุรักษ์สงวนหวงห้ามโดยเด็ดขาด และปรับเปลี่ยนบริเวณทางน้ำที่พิกัดที่กำหนดให้เป็นทางน้ำสาธารณะทั่วไป
โดยเฉพาะใช้เรื่องการคมนาคมขนส่งการโดยสารหรือส่งเสริมการท่องเที่ยว ไม่อยู่ต้องห้ามตามการประมงของกรณีนี้อีกต่อไป หลังจากครม.อนุมัติ
“แต่สุดท้ายกรณีที่เป็นการปลูกสร้างสิ่งรุกล้ำลำน้ำจะต้องอยู่ภายใต้การอนุญาตของกรมประมง โดยทางอธิบดีกรมประมงมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกใบอนุญาต”
ที่เรียกว่าใบอนุญาตให้กระทำการใด ๆ ในที่จับสัตว์น้ำได้ ซึ่งจะมีอีกกรณีหนึ่งอีก ในกรณีนี้บอกว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำ แต่กรณีโน้นคือการปลูกสร้างล่วงล้ำลำน้ำ หลังจากออกใบอนุญาตของเจ้าท่าฯแล้ว
คณะกรรมการกลั่นกรองสิ่งล่วงล้ำลำน้ำจังหวัดแล้วก็ต้องไปขออนุญาตจากประมงอยู่ดี แต่นั้นว่าด้วยเรื่องที่จับสัตว์น้ำ แต่ประเด็นที่น่าจะพิจารณาและตั้งเป็นข้อสังเกตก็คือ
ประเด็นว่าด้วยเรื่องโพงพางหรือเครื่องมือการประมงเหล่านี้ ที่บริเวณดังกล่าว เท่ากับพอยกเลิกเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำเท่ากับต้องมาพิจารณาตามกฎหมายประมงว่า

จะอนุญาตอาชญาบัตรเครื่องมือทำการประมงเหล่านี้ได้หรือไม่อย่างไร ก็ต้องไปดูหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการที่ทางประมงกำหนด โดยประมงจังหวัด
ส่วนเจ้าท่าฯถ้าไม่กีดขวางร่องน้ำ ไม่เปลี่ยนแปลง หรือกระทบต่อการเดินเรือหรือภัยอันตราย เจ้าท่าฯก็มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตามที่เข้าคณะกรรมการฯจังหวัดอยู่แล้ว
และที่สำคัญเรื่องเหล่านี้กรมเจ้าท่า ก็เคยมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดถ้าเป็นกรณีกระชังเลี้ยงสัตว์น้ำในการพิจารณาคราวเดียวกันกับประมงกับผู้ว่าฯอยู่แล้ว
“กรณีนี้ผมมองว่าหัวใจคือห้ามกีดขวาง ก็คือไม่ให้มีการขยายหรือมีการทำเครื่องมือทำการประมงเพิ่มเติมอยู่แล้วเพราะว่าท่านผู้ว่าฯให้นโยบายสำคัญมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้”
เพราะเราจะพัฒนาทางน้ำ เพื่อส่งเสริมเรื่องการเดินเรือ การขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว แต่อีกมุมเรามาส่งเสริมแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ เรื่องเครื่องมือทำการประมง มันก็ขัดหรือแย้งกันโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น ภาครัฐก็ต้องไปประชุมเพื่อขีดเส้น หรือกำหนดพื้นที่ ซึ่งการยกเลิกเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำปากอ่าวสงขลาบริเวณท่าเรือน้ำลึกสงขลาจะมีหกระทบเชิงบวก
ก็คือมองไปที่การขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ เพราะท่าเรือน้ำลึกสงขลา เมื่อหลังจากที่มติครม.ให้กรมเจ้าท่าพิจารณาภายใต้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท 25 ปี
ในการขุดลอกร่องน้ำประกันความลึกไม่ต่ำกว่า 9 เมตร และท่าเรือน้ำลึกสงขลาได้รับอนุญาตในการปรับปรุงติดตั้งเครนหน้าท่าเพื่อยกตู้คอนเทนเนอร์จากเรือขึ้นสู่ลานท่าเรือ
ก็จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ ก็คือในระดับความลึกที่สามารถพัฒนาร่องน้ำได้ 9 เมตร เขาก็สามารถนำเรือที่กินน้ำลึก 1-2 เมตรเข้ามา

ทำให้มีปริมาณตู้สินค้าในศักยภาพที่เพิ่มขึ้นประมาณถึง 100,000 ตู้ต่อปี ก็สามารถทำรายได้เข้ารัฐเพิ่มอีก 10,000 ล้านบาท เนื่องจากจะมีตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเรือน้ำลึกสงขลาเพิ่มขึ้น
“นอกจากรองรับการขนส่งสินค้าแล้ว สามารถรองรับเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ หรือเรือซุปเปอร์ยอร์ช ได้ในอนาคต เพราะในระดับความลึกร่องน้ำ 9 เมตรสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้”

สำนักข่าวโฟกัส
สมชาย สามารถ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *