Home » ข่าว » “ แมลงจิ๋ว สร้างชุมชน ”มรภ.ยะลาเผยผึ้งซันโรงเพิ่มรายได้30%

“ แมลงจิ๋ว สร้างชุมชน ”มรภ.ยะลาเผยผึ้งซันโรงเพิ่มรายได้30%

งานวิจัย “มรภ.ยะลา” วิสาหกิจชุมชนผึ้งซันโรงชายแดนใต้ เพิ่มผลผลิตและรายได้กว่า 30 %

“เดิมทีจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการเลี้ยงผึ้งชันโรงอยู่กระจัดกระจาย มีตลาดส่งออกหลักไปมาเลเซีย มูลค่า 2 ล้านบาท/ปี ทั้งในรูปแบบรังพร้อมเลี้ยงชันโรง คิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ และผลิตภัณฑ์จากผึ้งชันโรง แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2565 ทำให้ส่งออกไปมาเลเซียไม่ได้ และยังถูกซ้ำเติมจากแรงงานคืนถิ่นที่ไม่มีอาชีพตามมา”
ผศ.ดร.อิสมะแอ เจ๊ะหลง คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา หัวหน้าชุดโครงการวิจัย “โครงการการพัฒนาศักยภาพและยกระดับห่วงโซ่มูลค่าของเกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงและวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งชันโรงจังหวัดยะลาและนราธิวาส” ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวถึงตลาดผึ้งชันโรงชายแดนใต้

โดยมรภ.ยะลา ได้ร่วมกับสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา และภาคีเครือข่าย ช่วยชุมชนเกษตรกรรอดพ้นจากภัยโควิด ด้วยชุดความรู้จากงานวิจัย พัฒนาศักยภาพและยกระดับห่วงโซ่มูลค่าของเกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงและวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งชันโรงจังหวัดยะลาและนราธิวาส สร้างรายได้ให้ครัวเรือนและชุมชนจากผลผลิตผึ้งชันโรงเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ซึ่งน้ำผึ้งชันโรงคือ น้ำผึ้งที่ถูกผลิตขึ้นมาจากผึ้งจิ๋ว (Stingless Bee) ที่มีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ต้านเชื้อโรค ยับยั้งการเติบโตของเชื้อราและจุลินทรีย์ได้ รวมไปถึงยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี

“ด้วยเหตุนี้ทำให้น้ำผึ้งชันโรงราคาแพงกว่าน้ำผึ้งทั่ว ๆ ไป” ผศ.ดร.อิสมาแอ กล่าว และว่า

คุณลักษณะทั่วไปของน้ำผึ้งชันโรง จะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีสรรพคุณทางยาสูงกว่าน้ำผึ้งปกติถึง 2 เท่า มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าน้ำผึ้งทั่วไปหลายเท่า ซึ่งเกิดจากกระบวนการหมักทางธรรมชาติ รสชาติจะต่างตามชนิดสายพันธุ์และชนิดดอกไม้ที่เป็นแหล่งอาหาร ซึ่งสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเลี้ยง คือ พันธุ์อิตาม่า (สายพันธุ์ใหญ่) ซึ่งจะให้ผลผลิตน้ำผึ้งในปริมาณที่สูงกว่าพันธุ์ขนเงิน (พันธุ์เล็ก)

คณะนักวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ได้บูรณาการความรู้ในลักษณะสหวิทยาครอบคลุมทั้งเกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และการบริหารจัดการการตลาด ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้(ศอ.บต.) สภาเกษตรจังหวัด และเกษตรจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัด (ศวพ.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรง วิสาหกิจชุมชนด้านผึ้งชันโรง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยการขับเคลื่อนกลไกการสร้างเศรษฐกิจฐานรากรองรับการเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหาความยากจน นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

“ชุดความรู้จากงานวิจัยที่ถ่ายทอดแก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรงประกอบไปด้วย การพัฒนายกระดับเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรง ให้มีนวัตกรรมการทำรังสำหรับเลี้ยงผึ้งชันโรง ให้ได้ผลผลิตน้ำผึ้งชันโรงที่มีความสมบูรณ์ มีนวัตกรรมในการขยายรังผึ้งชันโรง มีทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ มีขีดความสามารถในการพัฒนาต่อยอดน้ำผึ้งชันโรง ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีขีดความสามารถในการบริหารจัดการการตลาดได้เอง แทนที่พึ่งพาเฉพาะตลาดมาเลเซียที่เคยผ่านมา และจากการเปิดประเทศให้ความสะดวกทางด่านพรมแดนต่างๆ ที่ติดกับมาเลย์ โดยเฉพาะทางด่านเบตง เป็นตลาดหลักของน้ำผึ้งชันโรงที่รองรับลูกค้าจากมาเลย์”

ขณะเดียวกัน การเลี้ยงน้ำผึ้งชันโรงยังได้พบน้ำผึ้ง สีม่วงดำ สีเขียว และสีเหลืองปกติ สีสันแตกต่างกันตามที่ผึ้งได้กินพืชแต่ละชนิดในพื้นที่ ส่วนตัวผึ้งชันโรงมีทั้งจากธรรมชาติและการแยกขยายให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น

ด้าน นายรุสดี ยะหะแม ประธานวิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมัง อ.รามัน จ.ยะลา หนึ่งในพื้นที่เป้าหมายในการขับเคลื่อนงานวิจัยผึ้งชันโรง กล่าวว่า วิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมัง มีสมาชิกประมาณ 50 คน จากชาวชุมชน กลุ่มทายาทเกษตรกรคนรุ่นใหม่บ้านบือมัง บัณฑิตคืนถิ่น ที่มีความคิดก้าวหน้า ได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรในพื้นที่ควบคู่กับการอนุรักษ์ป่า โดยจัดทำโครงการธนาคารต้นไม้ ปลูกต้นไม้เศรษฐกิจมีค่า ได้แก่ ตะเคียนทอง พยุง ฯลฯ ในพื้นที่บ้านบือมัง แต่การปลูกตันไม้ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน 10-20 ปี จึงจะสามารถสร้างรายได้

“เกิดข้อคำถามถึงแหล่งที่มาของรายได้ระหว่างรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากต้นไม้เศรษฐกิจมีค่า เราพบว่า การเลี้ยงผึ้งชันโรงเพื่อเก็บน้ำผึ้งชันโรงขาย รวมทั้งนำผลพลอยได้จากผึ้งชันโรงไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย คือคำตอบ เพราะผึ้งชันโรง ซึ่งเลี้ยงอยู่ในป่าไม้เศรษฐกิจ สามารถเก็บน้ำผึ้งชันโรงจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี”

โดยเบื้องต้นชาวบ้าน 11 คนรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงบ้านบือมัง (Kelulut Bukit Bumae) เลี้ยงผึ้งชันโรงเพียง 2 รัง แล้วขยายเพิ่มถึง 30 เท่า เป็น 60 รัง ภายในเวลา 3 เดือน เนื่องจากผลผลิตจากผึ้งชันโรงสร้างรายได้ที่ดีมาก

ทุกวันนี้ กลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงบ้านบือมัง ที่พัฒนาต่อยอดมาจากโครงการธนาคารต้นไม้ ได้ยกระดับขึ้นเป็น “ศูนย์เรียนรู้ธุรกิจชุมชนผึ้งชันโรง” ภายใต้แนวคิด “แมลงจิ๋ว สร้างชุมชน” และได้วางแผนผลิตกล่องถาดน้ำหวานออกจำหน่าย เพิ่มเติมจากผลผลิตน้ำผึ้งชันโรง รวมทั้ง สบู่ ลูกอม เพราะในห่วงโซ่ไม่ได้ขายน้ำผึ้งอย่างเดียว สมาชิกในกลุ่มบางคน เตรียมผันตัวเองมายึดอาชีพเลี้ยงผึ้งชันโรงเป็นอาชีพหลัก และเตรียมต่อยอดไปทำสวนทุเรียน โดยใช้ผึ้งชันโรงช่วยผสมเกสร เพิ่มผลผลิตทุเรียน

นายรุนดี กล่าวด้วยว่า โดยภาพรวมผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยนี้ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ที่มั่นคง ทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรง มีรายได้เพิ่มขึ้นจากผลผลิตผึ้งชันโรงจำนวนไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมาจากการจำหน่ายน้ำผึ้งชันโรง เพิ่มร้อยละ 10.26-13.79 ด้วยราคารับซื้อที่ 700-750 บาทต่อ 1 กิโลกรัม และนำมาขายในราคา 1,000-1,200 บาทต่อ 1 กิโลกรัม การผลิตรังผึ้งชันโรง พร้อมเลี้ยง จำหน่ายใน ราคา 3,000-4,000 บาท/รัง

ซึ่งพื้นที่วิจัยภายใต้โครงการข้างต้น มี 5 แห่ง ได้แก่ วิสาหกิจชุมชน/กลุ่มผู้เลี้ยงชันโรง อ.แว้ง จ.นราธิวาส วิสาหกิจชุมชนกลุ่มชันโรงบ้านไพรวัน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส วิสาหกิจชุมชนบัยตุลมานบ้านเจาะตูแน อ.ยะหา จ.ยะลา วิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมัง อ.รามัน จ.ยะลา และกลุ่มครัวเรือนตกเกณฑ์ จปฐ อ.กรงปีนัง จ.ยะลา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *