สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยร่วมมือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)สัมมนาสัญจร ให้ความรู้การดำเนินคดีแบบกลุ่ม “Class Action” ครั้งสุดท้ายของปีที่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายของปีนี้ โดยยังคงได้รับความสนใจ จาก กลุ่มผู้นำทางสังคม-ทนายความ –บจ .และโบรกเกอร์ กว่า 100 คนเข้าร่วมฟัง หวังเป็นกลไกหนึ่งในการดูแลและรับมือ “ภัยในตลาดเงิน และ ภัยในตลาดทุน
เวลา 13.00 น. วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ณ ห้องประชุม CEO ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายยิ่งยง นิลเสนา นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) เปิดเผยว่า สมาคมเดินหน้าให้ความรู้ และผลักดันให้กฎหมาย ฟ้องคดีแบบกลุ่ม – Class Action เข้ามาเป็นกลไกในการดูแล ช่วยเยียวยาผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหาย หากเกิดกรณีถูกฉ้อฉล ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการลงทุน โดยการจัดสัญจรครั้งสุดท้ายของปี ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งยังคงได้รับความสนใจอย่าง มากจาก กลุ่มผู้นำทางสังคม กลุ่มบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม กลุ่มทนายความ กลุ่มนักลงทุน กลุ่มโบรกเกอร์ กลุ่มนักวิชาการด้านกฎหมาย กลุ่มข้าราชการปกครอง และกลุ่มสื่อมวลชน กว่า100 คนเข้าร่วมสัมมนา “สมาคม ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) จัดสัมมนาสัญญจรมาต่อเนื่องและที่สงขลาถือเป็นครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายของปีนี้ และได้รับความสนใจ สามารถส่งผ่านความรู้ในเรื่อง Class Action ผ่านการสัญจรให้เข้าถึงตามหัวเมืองสำคัญได้ดี โดยในการจัดสัญจรทั้ง 3 ครั้งมีผู้ร่วมเข้ารับฟังกว่า 300 คน “ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยกล่าว
ทั้งนี้หากดูตัวเลขสถิติการทำผิดในตลาดทุนยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ส่วนกรณีของ STARK ที่ส่งผลกระทบวงกว้าง กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และในส่วนของสมาคมฯ ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลผู้เสียหายจากการลงทุนหุ้น STARK และมีผู้เสียหายมาลงทะเบียนกว่า 1,759 ราย ที่จะดำเนินการต่อไปภายใต้ กฎหมาย Class Action ก็มีความคืบหน้ามากขึ้น
ขณะที่ความคืบหน้าในการ จัดตั้ง “ศูนย์ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในการฟ้องคดีแบบกลุ่ม – Class Action” ยังอยู่ในขบวนการจัดตั้ง และอยู่ในการพิจารณาว่า มูลฐานความผิดที่จะเข้าข่ายและใช้ Class Action ได้ จะมีประมาณ 7 มูลฐานประกอบด้วย 1.ผิดสัญญา 2.การเปิดเผยข้อมูล 3.การเสนอขายหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาต 4.การทุจริตของกรรมการและผู้บริหาร 5.การสร้างราคา 6.การใช้ข้อมูลภายใน และ 7.การครอบงำกิจการ
นายมาหะมะพีสกรี วาแม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ประธานในการเปิดงานสัมมนาสัญจร กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยและ ธปท.จัดสัญจรให้ความรู้ประชาชนเรื่องภัยการเงินและการลงทุน จังหวัด สงขลา เป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจของภาคใต้ ซึ่งภัยทางการเงิน และการลุงทน อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลากับทุกคน ดังนั้นการให้ความรู้ การมีมาตรการและเครื่องมือเข้ามาช่วยก็จะสามารถดูแลประชาชนได้
ดร. โสภี สงวนดีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาค ใต้ จังหวัด สงขลา กล่าวว่า การจัดสัมมนาสัญจรเพื่อให้ความรู้เรื่อง ภัยในตลาดเงินและภัยในตลาดทุน เป็นความร่วมมือของ ธปท.ทั้ง 3 สำนักงาน คือ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา ร่วมมือกับ TIA เดินสายให้ความรู้กับประชาชน พร้อมรับมือกับภัยทั้งในตลาดเงินและตลาดทุนที่จะเกิดขึ้นได้ และ ธปท มีบทบาทดูแลความมั่นคงระบบการเงิน ให้ความคุ้มครองผู้ใช้ทุกท่าน ดังนั้นความร่วมมือในการให้ความรู้กับประชาชนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ทั้งนี้ สถิติการร้องเรียนผ่านสายด่วน 1213 พี่น้องประชาชน สามารถ ขอคำปรึกษาและร้องเรียนเกี่ยวกับบริการทางการเงิน ทั้งแก้ไขปัญหาหนี้ และ ภัยหลอกลวงทางการเงินต่างๆ โดยในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2566 มีประชาชนโทรเข้ามาทั้งสิ้น 29,574 สาย ซึ่งเป็นการแจ้งเบาะแสและร้องเรียนเกี่ยวกับภัยการเงิน 3,780 สาย เรื่องหลักๆ ที่ร้องเข้ามาคือ (1) การหลอกให้สินเชื่อ (2) การหลอกให้ลงทุน (3) การหลอกให้โอนเงิน (4) คอลเซ็นเตอร์ และ 5) ถูกบุคคลอื่นสวมรอยทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ สถิติคดีออนไลน์ ก่อน พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 (1 ม.ค. – 16 มี.ค. 66) เฉลี่ย 790 เรื่องต่อวัน ส่วนหลังมี พ.ร.ก. (17 มี.ค. – 31 ก.ค.66) เฉลี่ย 591 เรื่องต่อวัน ขณะที่สถิติการอายัดบัญชี ก่อนมี พ.ร.ก. (1 ม.ค. – 16 มี.ค. 66) มีการขออายัด 1,346 ล้านบาท อายัดทัน 87 ล้านบาท คิดเป็น 6.5% ซึ่งหลังมี พ.ร.ก. (17 มี.ค. – 31 ก.ค.66) มีการขออายัด 2,792 ล้านบาท อายัดทัน 297 ล้านบาท คิดเป็นอายัดได้ทัน 10.6%
รศ.ดร. ปานทิพย์ พฤกษาชลวิทย์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้ทำวิจัย เรื่องการดำเนินคดีแบบกลุ่มสำหรับผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ประเภทคดีที่อาจดำเนินคดีแบบกลุ่ม Class Action เช่น คดีหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดีคุ้มครองผู้บริโภค คดีแรงงาน คดีป้องกันการผูกขาด คดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม คดีคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและคดีที่เกี่ยวกับบริการทางการเงินเป็นต้น
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการฟ้องแบบ Class Action จะเป็นการดำเนินคดีที่ศาลอนุญาตให้เสนอคำฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงสิทธิของโจทย์และสมาชิกกลุ่ม และเมื่อศาลมีคำพิพากษาคนในกลุ่มก็จะได้รับสิทธิในกลุ่มเมื่อมีการรวมตัวกันฟ้อง และจะต้องมีสภาพของข้อหาที่ชัดเจน มีลักษณะเฉพาะที่เหมือนกันและต้องอยู่ในคดีเดียวกัน
รศ.ดร. ปานทิพย์ กล่าวว่า Class Action มีผลบังคับใช้มานานแล้ว แต่ที่ยังไม่มีผลเชิงปฏิบัติ เพราะทนายความยังไม่ค่อยให้ความสนใจ ยังไม่ทราบว่ามีเรื่องของคดีกลุ่ม ซึ่งน่าจะมาจาก Class Action ยังเป็นเรื่องใหม่ อีกส่วนหนึ่ง คือเรื่องของค่าตอบแทนอาจไม่ค่อยคุ้มค่า ถึงแม้ว่ากฎหมายจะมีการกำหนดไว้ว่า 30% แต่ในทางปฏิบัติอาจจะได้ไม่ถึง 30% ทั้งหมด จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลว่าให้การพิจารณามูลค่าคดีที่ยื่นฟ้องจำนวนเท่าไร
ทั้งนี้ ทางสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ได้ดำเนินการเชิงรุกในการเดินสายให้ความรู้สร้างความเข้าใจ เรื่อง Class Action โดยประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่จะต้องเข้ามาอยู่ในขบวนการของการดำเนินคดี ทั้ง ร่วม สภาทนายความแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการจัดหลักสูตรให้กับทนายความ และผู้ที่มีความสนใจในสายวิชาชีพนี้โดยร่วมกับ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม จัดโครงการอบรมให้ข้าราชการศาล ซึ่งในการกิจกรรมการร่วมทั้งหมดได้รับความสนใจมาก และในการ จัดหลักสูตรให้กับทนายความ ขณะนี้ การอบรมหลักสูตรทนายความ G1 (ขั้นพื้นฐาน) ได้ปิดหลักสูตรไปแล้ว และกำลังจะเปิดการอบรมหลักสูตรทนายความ G2 (ขั้นก้าวหน้า) เป็นลำดับไป
สำนักข่าวโฟกัส