ทุ่นระเบิดที่ช่องบก!เพิ่มวิกฤติขัดแย้งไทย-กัมพูชา

สถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ส่อเค้าว่าจะบานปลายมากขึ้น หลังจากกรณีล่าสุด ทหารไทยที่ไปลาดตระเวน
เหยียบกับระเบิด 3 นาย บาดเจ็บสาหัส 1 นาย กลายเป็นประเด็นร้อนใน ช่วงสัปดาห์ ที่ผ่านมา

จากการเข้าไปพิสูจน์ ของกองทัพ ภาค 2 แม่ทัพภาค 2 คือ พลโท บุญสิน พาดกลาง ระบุชัดเจน ว่า เป็นระเบิดใหม่ ที่เพิ่งเข้าไปลอบวางไว้ เพราะใช้เพียงแค่ใบไม้ ปกปิดเอาไว้ หากเป็นระเบิดเก่าจะต้องมี วัชพืชหรือมีอะไรคอยห่อหุ้มอยู่ เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้ว พบถึง 8 จุด

ข้อมูลที่ทำให้ ฝ่ายไทยไม่สบายใจสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้มีนัยยะและมีเจตนา สิ่งที่ เคลือบแฝงอยู่จากข้อมูล ของฝ่าย ความมั่นคง ที่เข้าไปตรวจสอบ สภาพแวดล้อม ต่างๆ ระบุ ชัดว่า นี้เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

“ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และ ที่สำคัญผิด อนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง เพราะ ไม่ใช่เพียง แค่ เรื่องของการเล่นไม่ชื่อ แต่เป็นการมุ่งหวังจะเอาชีวิตของทหารของประเทศเพื่อนบ้านหวังที่จะทำให้เรื่องนีลุกลามบานปลายขยายใหญ่โตขึ้น” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว และว่า

สิ่งที่ฝ่ายไทยมีการประชุมในศูนย์เฉพาะกิจ บริหารสถานการณ์ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวานนี้(20 กรกฎาคม) ได้สรุปถึงเรื่องนี้ และกระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ประณามการ กระทำที่เกิดขึ้นและวันนี้(21 กรกฎาคม) จะมีการประชุมตัวแทนจากกระทรวงการ ต่างประเทศ พร้อมฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเป็นกรรมการในศูนย์เฉพาะกิจ บริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

รวมถึงจะมีการประชุมที่สภาความมั่นคง โดยประเด็นสำคัญ ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษคือ จะมีการหารือ เพื่อกำหนดมติจากที่ ประชุม หลังจากได้ บทสรุป เรื่องกับระเบิดเรียบร้อยแล้วอย่างไรก็ตามซึ่งก็มีความเป็นไป ได้สูง ว่าจะมีการรวบรวมข้อมูล ยื่นเรื่องไปยัง UN

“จะยื่นเรื่องร้องเรียน หรือจะฟ้องร้อง ต้องรอดูว่าจะไปในทางทิศทางไหน เพราะเป็นการละเมิด อนุสัญญาออตตาวา ชัดเจน”

หากทางฝ่ายกัมพูชา ยังคงยืนการ “ปฏิเสธ” ก็จะต้องหาหลักฐาน มาลบล้าง สิ่งที่เป็นข้อมูลของฝ่ายไทย ตอนนี้ ต้องบอกว่าเรื่องนี้ มันขยับไปไกลแล้วและกำลังจะถูกขยับขึ้นไปสู่เวทีระดับนานาชาติ หลังจากก่อนนี้ทางกัมพูชาพยายามที่จะดึงข้อพิพาท ในพื้นที่
“สามเหลี่ยมมรกต” ไปขึ้น ศาลโลก และพยายามจะดึงเอาปราสาทอีก 3 หลัง คือ ตาควาย ตาเมืองธม ตาเหมือนโต๊ด ไปสู่ศาลโลก

อีกทั้ง เป็นที่น่าสังเกตุว่า ความเคลื่อนไหวของ ฝ่ายกัมพูชาที่พยายามดึงเรื่องนี้ไปสู่ระดับโลก หลังจากที่ทหารไทยไป เหยียบกับระเบิดครั้งนี้ ทางสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา ออกโรงมาแถลง กล่าวหาว่าทางทหารไทยไปฝังระเบิดตามแนว ชายแดนของไทย-กัมพูชา

โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาออกมาระบุชัดเจน ผ่านทาง Facebook ขอกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาว่า เกิดเหตุทหารไทยไป เหยียบกับระเบิด ในพื้นที่ของประเทศกัมพูชา โดยกล่าวหาทหารไทยบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชาแล้วไปเหยียบกับระเบิด ที่ตัวเองฝังเอาไว้

นี่คือนัยยะ เป้ามุ่งหมายของทางฝ่ายกัมพูชา ที่เราได้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งหมดสิ่งที่พยายามพูด พยายามที่จะสื่อสาร ออกมาดูจะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แลัฝะจะสวนทางกันยิ่งถ้าไปดูจากแถลงการณ์ของโฆษกของกองทัพบกที่ออกโรงมาระบุชัดเจนว่า ทุ่นระเบิด ที่ตรวจพบเป็นระเบิดชนิด PMN-2 หรือ PMN-2 ซึ่งเป็นระเบิดสังหารบุคคลที่ผลิตในประเทศรัสเซีย กองทัพของไทย ไม่มีระเบิดชนิดนี้อยู่ใน สนามรบไม่เคยมี การใช้ระเบิดชนิดนี้ ตามแนวชายแดน หรือปฏิบัติการอะไรก็ตามแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายไทยไม่ได้เกี่ยวข้อง เพราะว่าไม่มีระเบิดชุดนี้

นอกจากนี้ ข้อกล่าวหา ที่พาดพิงถึงการนำเสนอ ของสื่อกัมพูชา
เป็นเฟคนิวส์ที่บอก ว่ามีหลักฐานชัดเจนว่า ทหารไทยนำระเบิดเข้าไปวาง กองทัพไทยออกโรงมา ยืนยันว่า นี้เป็นภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ในระหว่างการไปฝึกกอบกู้ระเบิดไม่ใช่ไม่เอาระเบิด ไปฝังเอาไว้ ข้อมูลที่ออกมาไม่ตรงกัน หลายฝ่ายคงเกิดเป็นคำถามว่า อนุสัญญาออตตาวา มันคืออะไร

“อนุสัญญาออสตาวา ทำขึ้นที่ประเทศแคนาดา เป็นข้อตกลงว่าด้วยการ ห้ามใช้ ห้ามสะสม ห้าม ผลิต ห้ามโอน รวมไปจนกระทั่งถึงเรื่องของการทำลายทุนระเบิดสังหารบุคคล ตั้งแต่ปี ค.ศ 1997 หรือ พ.ศ 2540 เป็น อนุสัญญา ที่มักจะเรียกกันสั้นๆ โดยทั่วไป ว่าอนุสัญญา ห้ามทุ่นระเบิด มีเป้าหมาย สำคัญคือเพื่อขจัดทุ่นระเบิดสังหาร“

ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ถือได้ว่าเป็น การลงนามของนานาประเทศรวม ไปจนกระทั่งถึงรัฐต่างๆ ที่มาร่วมลงนาม ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือน มีนาคม ปี 2556 มีถึง 165 รัฐที่ให้สัญญาหรือเข้าร่วมในสนธิสัญญาดังกล่าว

แม้ว่า ประเทศ ที่ เคยผลิต หรือยังผลิตทุ่นระเบิดชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือจีน และรัสเซียไม่ได้เข้าร่วม ลงนาม ในอนุสัญญานี้ แต่ถ้าดูจากประเทศที่ไปลงนามในอนุสัญญาจะมีพื้นที่ของประเทศไทย และกัมพูชา จะเห็นว่าทั้งไทย ทั้งกัมพูชาอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไปลงนาม ในอนุสัญญาฉบับนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ระบุไว้ ปรากฏอยู่ในถ้อยแถลงของสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติของกัมพูชา

หรือเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ในแถลงการณ์ระบุไว้ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญา ออตตาวา และที่ผ่านมาได้ ปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างเคร่งครัดจน เป็นที่ยอมรับของ นานาชาติ ถึงชั้นเลือกกัมพูชา เป็นประธาน และ เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม รัฐภาคี ครั้ง ที่ 11 ของ อนุสัญญา ออตตาวา เมื่อปี 2556 ซึ่งมีถ้อยแถลงของ กัมพูชา ที่ชื่มชม สมเด็จ ฮุนเซน เป็น บิดาแห่งสันติภาพ แต่ ในทางปฏิบัติ ปฏิเสธไม่ได้ ว่า เรื่องราว ที่เป็นข้อพิพาทความขัดแย้ง ระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนี้ตัวของสมเด็จฮุนเซน เป็นบุคคลที่มีบทบาทสูง และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะทำให้สถานการณ์ดู ตึงเครียด เคร่งเครียด สมกับที่ถูกมองว่า นี่คือคนที่มีอำนาจ มีบารมีตัวจริง ของ กัมพูชา

”ฮุนเซ็น” ไม่ใช่ เฉพาะเพียงแค่คอยเติมเชื้อไฟให้ ปะทุ จุดกระแสชาตินิยมในส่วนของคนกัมพูชาให้ตระหนักว่า ความเดือดร้อน ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับคนกัมพูชา ณ.ปัจจุบันเป็น
ฝีมือของรัฐบาลไทย เพราะฉะนั้นคนกัมพูชาไม่ต้องง้อ ประเทศไทย ไม่ต้องพึ่งพาอาศัย ประเทศไทย กลับบ้านเรามีงานทำรออยู่ แต่ปรากฏว่า มีเสียงออกมาวิพากษ์ว่า กลับ ฃมาแล้วปรากฏว่างานที่กัมพูชา มีงานไม่เพียงพอ

นอกจากจะทำให้เรื่องนี้ขยายลุกลามตัว ของสมเด็จ ฮุนเซ็น ยังมีเป้าหมายสำคัญที่เห็นได้ชัดคือ ออกมาดิสเครดิตรัฐบาลไทย ที่นำ โดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ทั้งยังพุ่งเป้าไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร

ด้วยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมา ตั้งแต่รุ่นพ่อถึงรุ่นลูก ที่ขาดสะบั้นลงท่ามกลางความงุนงงสงสัย หลายคนอยากจะได้ยินได้ฟังแต่ ยังไม่ได้เห็นการออกมาชี้แจงไม่ว่าจะเป็นจากนายทักษิณ หรือสมเด็จอุนเซ็น ว่าความสัมพันธ์ 30 กว่าปีแนบแน่นขาดสบั้นลงได้อย่างไร

แบะทั้งสองคนคิดยังไงที่เอาประเทศของแต่ละฝ่ายมาเป็นเดิมพันในความขัดแย้งส่วนตัว จนกำลังจะกลายเป็นความขัดแย้งของประเทึและคนทั้งสองชาติ ในสถานการณ์ปัจจุบัน

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก Thai PBS

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *