
ผศ.ดร.รัชพงษ์ ชัชวาลย์ (ดร.ตูน) ศิษย์เก่าสาขารัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต(รปศ.) รุ่น 25 ซึ่งปัจจุบันเป็นคณบดีคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา กล่าวว่าต้องขอบคุณสมาคมศิษย์เก่าฯ และคณะวิทยาการจัดการ มหาลัยสงขลานครินทร์ที่ได้มอบรางวัลที่ทรงเกียรติอันนี้ให้ และได้เล็งเห็นว่าตนมีศักยภาพเป็นตามที่ได้กำหนดขึ้นมา
“ถือเป็นเกียรติกับตัวเอง และครอบครัวมาก ๆ ที่ได้รับรางวัลนี้” ดร.ตูน กล่าว และว่า
เรียนจบจากคณะวิทยาการจัดการ ทั้ง 3 หลักสูตร ปริญญาตรี ปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ และปริญญาเอก สาขาการจัดการ
คำว่า “วิทยาการ คือ ความภาคภูมิใจ” เป็นคำที่ได้ยินตั้งแต่ตัวเองเข้าเรียนปี 1 เมื่อปี 2543 จากการจัดกิจกรรมรับน้องประชุมเชียร์ รุ่นพี่จะพูดคำนี้ว่า“วิทยาการ คือความภาคภูมิใจ” เราได้ฟังในขณะนั้นก็เป็นความภูมิใจเบื้องต้นว่าเราได้มาอยู่ในรั้ว ม.อ.
คณะ วจก. เป็นความภาคภูมิใจของตัวเราเองที่สามารถสอบเข้ามาเรียนได้
“มันก็เป็นความรู้สึกแค่นั้น แต่ยังไม่เข้าใจความภาคภูมิใจจริง ๆ”
กระทั่งเมื่อจบแล้ว มีงานทำ เชื่อว่าศิษย์เก่าทุกคนก็จะมีความรู้สึกเหมือนกันว่า เราประสบความสำเร็จได้หน้าที่การงาน เป็นเพราะเราได้รับความรู้จากครูบาอาจารย์ของคณะวิทยาการจัดการ ซึ่งทำให้เรามีศักยภาพ เติบโตในตำแหน่งงาน ในตำแหน่งหน้าที่ ทำให้เรารู้สึกว่า ภูมิใจที่จบจากที่นี่
“วิทยาการ คือ ความภาคภูมิใจ เป็นคำที่ทำให้เราเห็นและเข้าใจความหมายนี้จริง ๆชัดแจ้งเมื่อเราเรียนจบแล้ว และได้ทำงานพัฒนาท้องถิ่นชุมชนสังคมต่อไป ทั้งยังทำให้เรารู้สึกว่า เราจบจาก วจก.ที่เราภูมิใจ”
สำหรับบทบาทช่วยเหลือสังคมในภารกิจต่าง ๆที่เชื่อมโยงกับการทำงานด้วยตำแหน่งคณบดีจะมีงานที่จะต้องไปบริการวิชาการ เป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชน
ม.ราชภัฏสงขลา ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นชุมชน ตนได้นำความรู้ที่เรียนรัฐประศาสนศาสตร์ ทั้งปริญญาตรี โท และเอก มาใช้ในการพัฒนาสังคม นำองค์ความรู้มาสู่การปฏิบัติจริง มาผนวกกับองค์ความรู้คณาจารย์ของราชภัฏสงขลา ไปใช้ออกแบบแล้วดำเนินการพัฒนาท้องถิ่น ในรูปแบบชุมชนต้นแบบ หลาย ๆ พื้นที่ประสบความสำเร็จ จากเป็นชุมชนที่ไม่เป็นที่ยอมรับในแนวทางการพัฒนา หน่วยงานราชการต่าง ๆ ไม่ได้ให้ความสําคัญมาก เมื่อเราลงไปทํา จึงเป็นที่รู้จักหน่วยงานต่าง ๆ ก็เข้ามาช่วยกันพัฒนาจนเป็นชุมชนต้นแบบ
ดร.ตูน กล่าวต่อว่า พระราชปณิธานของพระราชบิดา เป็นสิ่งที่ตนยึดถือปฏิบัติตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปเรียน คือ “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษเป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” เราจะเห็นในทุกมิติของ ม.อ. ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งในสมุด หนังสือหรือสโลแกนต่าง ๆ จะปลูกฝังเรื่องนี้มาก ๆ และ ม.อ.เองก็จะให้ความสำคัญ แล้วก็พยายามทำให้เป็นปณิธานที่ฝังลึกอยู่ในตัวของเด็กนักศึกษาทุกคนให้จดจำคำ ๆ นี้ได้
“นักศึกษาของ ม.อ.ทุกคนจะจำคำนี้ได้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่นักศึกษาทุกคนท่องได้แน่นอน”
หลังเรียนจบ ได้ทำงานที่ ม.อ.เกือบ 10 ปี ในงานพัฒนานักศึกษา ก็เน้นเรื่องนี้มาก ปลูกฝังให้นักศึกษาเข้าใจกิจกรรม แล้วสอดแทรกปณิธานของพระราชบิดา และปฏิบัติกับตัวเองอยู่ตลอด แม้กระทั่งมาทำงานที่ราชภัฏสงขลา ก็ยังยึดปฏิบัติมาตลอด
“ผมเห็นได้ด้วยตัวเองว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำประโยชน์เพื่อชุมชนสังคม คือประโยชน์ของผู้อื่นก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวผม
เองแล้วในปัจจุบัน เพราะผมทำงานช่วยเหลือสังคม พัฒนาท้องถิ่น พัฒนาเด็ก ผมได้เติบโตในหน้าที่การงาน มีตำแหน่งทางวิชาการผู้ช่วยศาสตราจารย์ ได้เป็นคณบดี มีรายได้เป็นค่าตอบแทน ก็ทำให้ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกจากท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพ ผมทำงานด้วยความสุจริตยุติธรรม ก็ได้รับการยอมรับ แม้กระทั่งรางวัลศิษย์เก่าเกียรติคุณ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน”
สิ่งที่พระองค์ท่านได้มอบเป็นปณิธานนั้นเป็นความจริงที่ทุกคนสัมผัสได้อยู่ในวิถีชีวิต ถ้าท่านทำงานช่วยเหลือผู้อื่น ทำงานเพื่อส่วนรวมก็จะมีคนรักและได้รับการสนับสนุนอย่างแน่นอน ลากทรัพย์และเกียรติยศก็จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทำงานอย่างบริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับทุกคน ถ้าท่านทำตามพระราชปณิธาน

นายราม วสุธนภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงานป.ป.ช. ประจำจังหวัดสงขลา/ผู้จัดการนิติบุคคลหมู่บ้านสหกรณ์ออมทรัพย์ ม.อ. ศิษย์เก่าหลักสูตร รปศ. รุ่น 20 กล่าวว่า การได้รับคัดเลือกให้เป็นศิษย์เก่าเกียรติคุณ รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่วจก. ซึ่งเป็นคณะที่เคยเรียนตั้งแต่ปริญญาตรีและโท รัฐประศาสนศาสตร์ มีความภาคภูมิใจในสถาบันอย่างมาก
“วิทยาการ คือ ความภาคภูมิใจ เป็นคำพูดหรือคำนิยามตรงความคิดของผม และเห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะมีภาคภูมิใจ เป็นคำพูดที่ถูกต้อง” นายราม กล่าว และว่า
สิ่งที่ได้จากรั้ว ม.อ. นอกจากองค์ความรู้แล้วเป็นเรื่องกรอบความคิด อัตลักษณ์ความเป็น ม.อ. และความมุ่งมั่นที่เป็นตัวหล่อหลอมเราขึ้นมา
“ปณิธาน ยึดประโยชน์เพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง เป็นแนวคิดเดียวกับหน่วยงาน ป.ป.ช.ที่ทำอยู่เราต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรใช้กับคนทั่ว ๆ ไปที่ต้องให้ความสำคัญกับจิตสำนึกสาธารณะ เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ทุกคนที่เป็นคนไทย”
เมื่อเราก้าวเข้าสู่สังคมภายนอก เราต้องทำงานต้องเรียนรู้ สิ่งที่ช่วยเราได้ เป็นความมุ่งมั่น ความตั้งใจความพยายาม ตรงนี้จะเป็นตัวที่ทำให้การทำงานเรามีความมั่นคงและเสถียร และเจ้านายของเราก็จะเห็นในส่วนตรงนี้ด้วย ถ้าเรามีความตั้งใจความพยายาม.และผลงานก็จะเกิดขึ้นเอง ไม่ว่าเราอยู่ในองค์กรไหน ๆ ถ้าเรามีในจุดตรงนี้ เราจะไปได้หมด “ต้องมุ่งมั่น พยายาม ตั้งใจ มีวินัย” เป็นสิ่งที่จะช่วยในการทำงานของคนให้สำเร็จได้
สําหรับสำนักงาน ป.ป.ช.ในเรื่องความซื่อสัตย์จะมุ่งเน้นความมุ่งมั่นและความเที่ยงธรรมในการทำหน้าที่ เป็นจุดสำคัญที่เราต้องทำหน้าที่ในกระบวนการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐ ซึ่งตัวองค์กรหรือเจ้าหน้าที่เองก็ต้องมีความซื่อสัตย์ ความเป็นธรรมมาก่อน ไม่เช่นนั้นจะทำงานไม่ได้ในส่วนนี้จะขาดความไว้วางใจจากประชาชนหรือคนทั่ว ๆ ไป

นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ศิษย์เก่า รปศ. รุ่น 8/อดีตปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) กล่าวว่า ต้องขอบคุณกรรมการและทางอาจารย์ที่ได้จัดงานครบรอบ 50 ปี วจก.ม.อ.ขึ้น พร้อมมอบโล่ศิษย์เก่าเกียรติคุณ ขอบคุณทุกท่าน
ที่ให้ความสําคัญในเรื่องนี้ เพื่อระลึกถึงคณะที่ได้มีคุณูปการต่อการผลิตบุคลากรรับใช้ประเทศชาติ
“มีความภาคภูมิใจต่อคณะวิทยาการจัดการซึ่งผมเคยได้รับโล่ศิษย์เก่าดีเด่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อปี 2565”
กิจรรมในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ดี เพราะศิษย์ปัจจุบันได้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของศิษย์เก่าที่ทำงานแล้วรับใช้ประเทศชาติ ทั้งในเชิงของราชการ เจ้าของธุรกิจรวมทั้งสังคมด้วย
“ความรู้ที่ได้จากรั้ว ม.อ.เมื่อปี 2526ค่อนข้างทันสมัยในยุคนั้น ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในคณะวิทยาการจัดการจะสอนอะไรที่หลากหลายวิชามาก รวมทั้งเรื่องการวิจัย จะทำงานได้หลากหลายสาขา ทั้งนักข่าว นักสังคม ข้าราชการ และนักธุรกิจ“ นายเพิ่มสุข กล่าว และว่า
ตนทำงานราชการก็ได้ใช้ความรู้เหล่านี้ เพราะว่าหลักการของ Management science คือ หลักการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น ถ้าพูดถึงรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เรียนรู้การทำโครงการอะไรต่าง ๆ
“ผมมองว่า Management science จะเหนือกว่าเรื่องธุรกิจ อะไรที่ใช้หลักการ วิทยาศาสตร์เป็นหลักการที่มีเหตุมีผล และเป็นหลักการที่ตอกย้ำถึงข้อเท็จจริง และเข้าไปดำเนินการ”
สิ่งที่คณะของเราต้องทำต่อไปคือ ต้องมีการปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เท่าทันสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต
“ผมคิดว่าสิ่งที่จะต้องทำ คือการเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเพื่อตอบรับกับสังคมที่เปลี่ยนไป การปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนแปลง”
สำหรับปณิธานของพระราชบิดา ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง เป็นปณิธานที่นักศึกษาทุกคนยึดถือปฏิบัติ สําหรับคณะวิทยาการจัดการ เป็นคณะตรงกลางระหว่างสังคมศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น คณะจะเป็นตัวเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในการทำงานให้มีความถูกต้องยิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่คณะทำมาโดยตลอด
ให้ศิษย์ปัจจุบันยึดหลักศาสนานำมาใช้ เช่น อิทธิบาท 4 คือ หลักธรรมที่ประกอบด้วยคุณธรรม 4 ประการ ที่นำไปสู่ความสำเร็จ ได้แก่ ฉันทะ ความพอใจ,วิริยะ ความเพียร, จิตตะ ความตั้งใจ และ วิมังสา การพิจารณาไตร่ตรองเหตุผล หลักธรรมนี้ช่วยให้คนเราทำงานได้อย่างมีความสุข และอริยสัจ 4 หลักธรรมความจริงอันประเสริฐ รู้จักการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
ที่สำคัญต้องมีศีล 5 และสังคหวัตถุ 4 เป็นธรรมที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คือการพูดจาไพเราะ การให้ เสียสละการทำตนให้เป็นประโยชน์ และการมีความสม่ำเสมอ
สุดท้ายเมื่อขึ้นมาเป็นผู้บริหารสิ่งที่ต้องมี คือ พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐ มีความเมตตากรุณา
“ถ้าน้อง ๆ ยึดหลักเหล่านี้การเรียนหรือการทํางานจะได้ผลสัมฤทธิ์มากขึ้น เป็นแนวทางที่ผมยึดใช้มาตลอด ตั้งแต่เป็นเจ้าหน้าที่จนถึงผู้
บริหาร ทุกคนต้องมี 3 อย่างคือ กำลังกาย กำลังใจและกำลังความคิด หลักพุทธศาสนาจะช่วยเรื่องกำลังใจและกำลังความคิด นำไปสู่กำลังของประเทศในอนาคต” นายเพิ่มสุข กล่าว