“ผศ.พิเชษฐ์ จันทวี” นำ “มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา” เพื่อท้องถิ่นชุมชน วาง 3 มิติพัฒนา อนุรักษ์ฟื้นฟูประเพณี ยกระดับการศึกษา เตรียมเปิดป.โท-เอก โควต้าท้องถิ่น “ทุกคนต้องมีที่เรียน”และส่งเสริมสุขภาพ ทั้งหนุนแยกวิทยาเขตสตูลเป็น “มรภ.สตูล”
3 ตุลาคม 2568 มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลาสถาบันการศึกษาที่มีอายุกว่า 106 ปี โดยเริ่มต้นจากโรงเรียนฝึกหัดครู เมื่อปี 2462 ก่อนมาเป็นสถาบันราขภัฎสงขลา ในปีพ.ศ. 2535 และยกฐานะเป็น“มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา” เมื่อปี พ.ศ. 2547 ได้อธิการบดีคนใหม่อย่างเป็นทางการ หลัง “ผศ.พิเชษฐ์ จันทวี” ผ่านพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
“ได้วางแนวทางบริหารไว้ 3 มิติ” ผศ.พิเชษฐ์ จันทวี กล่าวถึงแนวทางการบริหาร และว่า
มิติแรกคือ การพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งมรภ.สงขลาเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่คู่กับท้องถิ่น เรามีหน้าที่ในการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น

ทั้งการส่งเสริม การอนุรักษ์และการฟื้นฟูเช่น ที่เราทำมาอย่างต่องเนื่องในระยะเวลาหลายปีคือ การแข่งขันเรือพาย โดยปีนี้เราจะร่วมกับเทศบาลเมืองเขารูปช้าง จัดแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเทศบาลฯเป็นอย่างดี
อีกประเพณีที่มรภ.สงขลาพยายามฟื้นฟูขึ้นมาคือ ประเพณีทอดกฐินทางน้ำ กฐินสามัคคี และกฐินพระราชทาน
“ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปรับผ้ากฐินพระราชทานมาไว้ที่สำนักงานอธิการบดีเพื่อจะได้ไปทอดกันในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ นี่เป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูประเพณีของท้องถิ่นที่เรากำลังดำเนินการอยู่”
ประเพณีอื่นๆ ที่เราเห็นควรดำเนินการก็ทำอย่างเต็มที่ หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ใดหรือชุมชนใดที่เห็นว่าอยากให้มรภ.สงขลาเข้าไปช่วย เราก็ยินดีและเต็มที่ในการร่วมดำเนินการโดยเราได้ตั้งงบประมาณไว้ส่วนหนึ่งเพื่อร่วมกับชุมชนและท้องถิ่นทุกปีๆ ละไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านบาทซึ่งเป็นความตั้งใจเพื่อท้องถิ่นจริงๆ
มิติด้านวิชาการ ปัจจุบันมรภ.สงขลามีหลักสูตรปริญญาตรีเป็นส่วนใหญ่ ผมอยากให้ทุกคณะสามารถเปิดการเรียนการสอนระดับปริญญาโท และปริญญาเอก
“ขณะนี้หลายคณะก็กำลังขับเคลื่อนอยู่เพื่อให้เปิดระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ผมก็หวังให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะที่ผ่านมาเรามีปริญญาโท.สายคุรุศาสตร์ แต่ยังไม่เคยมีระดับปริญญาเอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายสังคมศาสตร์ จึงวางเป้าภายใน 1-2 ปีนี้จะพยายามเปิดหลักสูตรป.เอกให้ได้”
อีกความตั้งใจคือ อยากให้ผู้บริหารเทศบาลเทศบาล หรือบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาเรียน โดยจะมีโควตาของ “ท้องถิ่นชุมชน” ที่ต้องการเข้ามาเรียนกับเราโดยจะพยายามอนุเคราะห์การศึกษาต่อกับชุมชนให้ได้มากที่สุด
“เราต้องส่งเสริมชุมชนให้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือโท และเอก ให้ได้มากที่สุด”
มิติที่สาม ที่ผมสนใจคือ เรื่องสุขภาพชุมชนผมมองว่าปัจจุบันสังคมคนสูงวัยมีอยู่จำนวนมากเป็นช่วงที่เราต้องช่วยกันดูแลเรื่องสุขภาวะ จึงคิดว่าจะต้องพัฒนาหลักสูตรที่ช่วยดูแลผู้สูงอายุให้มากขึ้นหรือให้มีศูนย์พัฒนาเกี่ยวกับสุขภาพชุมชนขึ้นมา
“ขณะนี้มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการให้คนในชุมชนเข้ามาเรียนว่ายน้ำในมหาวิทยาลัย ใช้วารีบำบัด ฟื้นฟูร่างกายให้มีสมรรถนะป้องกันโรคภัย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยชุมชนด้านสุขภาพ ซึ่งมหาวิทยาลัยฯเองน้อมรับคำติชมของประชาชนท้องถิ่น มีสิ่งใดที่จะให้มหาวิทยาลัยฯช่วยขับเคลื่อน หรือช่วยเหลือในส่วนใดก็สามารถแจ้งความจำนงเข้ามาได้ เราพร้อมที่จะช่วยชุมชน”
ผศ.พิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า มรภ.สงขลา เป็นมหาวิทยาลัยแรกๆ ที่บริการชุมชน นโยบายของผมคือการเปิดไฟให้ส่องสว่างบริเวณสนามกีฬาจนถึงสองทุ่มเพื่อประชาชนเข้ามาออกกำลังกายหรือชุมชน-ท้องถิ่นต้องการใช้พื้นที่ในการทำกิจกรรมร่วมกันของสมาชิกในชุมชนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เราพร้อมให้ความอนุเคราะห์
“มหาวิทยาลัยพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง รักษ์สามัคคี ช่วยเหลือพึ่งพากัน”
ส่วนงานบริการวิชาการ งานวิจัย ในปีที่ผ่านมาเราได้ลงไปพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ให้บริการวิชาการชุมชนต่างๆ ใช้งบประมาณ 20-30 ล้านบาท ทั้งมิติด้านพัฒนาเศรษฐกิจ 23 โครงการ มิติด้านสังคม46 โครงการ มิติด้านสิ่งแวดล้อม 13 โครงการ มิติด้านการศึกษา 19 โครงการ และมิติด้านการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม 13 โครงการ ทั้งหมดนี้เราได้จัดทำและเป็นจุดแข็งของมหาวิทยาลัยฯในการช่วย
ขับเคลื่อนชุมชน
ในส่วนการดำเนินการของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล ซึ่งที่ผ่านมาทางวิทยาเขตสตูลได้พยายามผลักดันให้พัฒนาไปเป็น
“มหาวิทยาลัยราชภัฏสตูล” ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาได้มีมติร่วมกันว่า หากทางสตูลต้องการขับเคลื่อนให้เป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏสตูล ก็ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการ
“ผมอยากให้มีการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นให้ได้เพราะเมื่อเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฎสตูล การดำเนินการก็จะเกิดความรัก หวงเหน เกิดความยั่งยืนและความเป็นปึกแผ่นสำหรับคนท้องถิ่นชุมชนสตูลเอง”
ผมต้องการเน้นการมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและชุมชนให้มากที่สุด ซึ่งหากชุมชนท้องถิ่นมีความต้องการเรื่องใดให้ทางมหาวิทยาลัยช่วยเหลือเราต้องไม่ปฏิเสธในสิ่งที่เราช่วยได้
ก่อนหน้านี้ เราเองอาจถูกมองว่าเข้าร่วมกับชุมชนไม่มากนักหรือออกห่างจากท้องถิ่น
“นโยบายของผมได้ให้กับคณะอาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยฯชัดเจนว่าจากนี้ไปกิจกรรมประเพณีต่างๆ ของชุมชนจะต้องเข้าไปร่วมในการจัดทำโครงการ เข้าไปดูแลพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ความสำคัญกับชุมชนท้องถิ่นที่ใกล้เคียง”
สำหรับพื้นที่ห่างไกล โครงการต่างๆ ก็อาจลดน้อยลงหรือลดความถี่ลงไป เพื่อคนในชุมชนใกล้เคียงได้รับประโยชน์ได้รับการดูแลมากขึ้นและให้ทั่วถึงมากขึ้น
“ผมต้องการขับเคลื่อนสงขลาให้มีการพัฒนาในทุกมิติ ตั้งแต่ด้านวิชาการ การศึกษา สุขภาพชุมชนการพัฒนาท้องถิ่น การบริการต่างๆ สิ่งใดที่มหาวิทยาลัยสามารถช่วยเหลือได้ ก็พร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่”
ผศ.พิเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า อีกนโยบายที่เน้นหนักคือ การส่งเสริมการเรียนของคนในชุมชนท้องถิ่น ทุกคนที่ต้องการเข้ามาเรียนต้องได้เรียน “ทุกคนต้องมีที่เรียน” พยายามลดเงื่อนไขให้น้อยที่สุด พยายามช่วยเหลือ เช่น หาวิชาที่เหมาะและสามารถเรียนได้ให้กับนักศึกษาที่ต้องการเข้ามาเรียน เราต้องพร้อมรับ นักศึกษาต้องมีที่เรียน 100 เปอร์เซ็นต์ หากมาที่มรภ.สงขลา นี่เป็นนโยบายที่ชัดเจนของผม


