“สมศักดิ์”เริ่มงานแรก กพต. ร่วมมือด้านศก.ไทย-มาเลเซีย

สมศักดิ์เริ่มงานแรก

“สมศักดิ์” รองนายกฯ-ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ประเดิมงานแรกหารือประธานสมาคมชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน แนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม ระหว่างจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐชายแดนประเทศมาเลเซีย จัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ในระยะไม่เกิน 6 เดือน
วันนี้ (19 ต.ค. 2566) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและรับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาพนังกั้นน้ำมูโนะ ซึ่งได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมหนักในปี 2565 ที่ผ่านมา ณ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พร้อมเดินทางตรวจติดตามและเยี่ยมชมการให้บริการ การบริหารจัดการและแนวทางการดำเนินการพัฒนาด่านศุลกากรบูเก๊ะตา อ.แว้ง จ.นราธิวาส ให้เป็นด่านปศุสัตว์ และด่านสินค้าเกษตร โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ


นอกจากนี้ ในช่วงค่ำ รองนายกรัฐมนตรียังมีกำหนดเดินทางหารือกับประธานสมาคมชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ในประเด็นแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม ระหว่างจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยกับรัฐชายแดนประเทศมาเลเซียที่มีอาณาเขตติดกัน ณ โรงแรม the grand ranai hotel รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
สำหรับการเดินทางเยือน จชต. ในวันนี้ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพต. จะมีการนำข้อเสนอแนะทุกมิติไปดำเนินงานเป็นนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน มุ่งสร้างอาชีพและรายได้ที่เหมาะสม เพียงพอต่อการเลี้ยงดูตนเอง ในปี 2567 ซึ่ง กพต. มีเป้าหมายแก้จน 107,756 ครัวเรือนยากจนเป้าหมาย ตามที่ ศอ.บต. ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอพิจารณา อีกทั้งจะเร่งให้มีการดำเนินการใช้อาคารด่านศุลกากรบูเก๊ะตาอย่างประสิทธิภาพ โดยเร่งรัดการประเมินที่ดิน ผลอาสิน และสิ่งปลูกสร้าง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
สำหรับการประชุมหารือกับสมาคมชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนนั้น รัฐบาลจะมีการจับมือร่วมกันพัฒนาระหว่างประเทศ ที่มีอาณาเขตติดต่อกันระหว่างจังหวัดและรัฐ เช่น นราธิวาสและรัฐกลันตัน โดยมีประเด็นการพัฒนา 5 ประเด็น คือ การบริหารจัดการน้ำ, การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระหว่างจังหวัดชายแดนภาคใต้กับมาเลเซีย, ความร่วมมือโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการพัฒนาร่วมกันของประเทศไทยและมาเลเซีย, การบริหารจัดการด่านการค้าชายแดน,
นอกจากนี้ยังมีการหารือร่วมกันด้านเศรษฐกิจในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม 9 ประเด็น ได้แก่ ธุรกิจอาหารแปรรูปฮาลาลและร้านค้าอาหารไทยมาเลเซีย, ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกผลไม้และปศุสัตว์, ธุรกิจยางและผลิตภัณฑ์, ธุรกิจเขตอุตสาหกรรม, ธุรกิจการค้าออนไลน์ชายแดน, ธุรกิจข้าวสุขภาพ, ธุรกิจการขนส่งเพื่อรายย่อย, ธุรกิจเชิงสุขภาพและความงาม, ความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์

          โดยข้อเสนอข้างต้น ทั้ง 2 ประเทศ เห็นควรร่วมกันจัดตั้งกลไกการพัฒนา เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ในระยะไม่เกิน 6 เดือนต่อจากนี้ โดยจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุม กพต. รวมทั้งกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมกันระหว่างไทย-มาเลเซีย 
      ในส่วนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก อ.ตากใบ ขณะนี้ฝ่ายไทยรับผิดชอบการออกแบบสะพานฯ แล้วเสร็จ และได้ส่งให้มาเลเซียพิจารณาแล้วตั้งแต่ปี 2559 แต่ฝ่ายมาเลเซียได้แจ้งมาว่า มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงขอชะลอโครงการออกไปก่อน และจะพิจารณาโครงการ ภายหลังเสร็จสิ้นการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ โก-ลก อ.สุไหงโก-ลก และ รันเตาปันยัง แห่งที่ 2
      นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ยังมีกำหนดตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการและแนวทางการดำเนินงานพัฒนาด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ในวันที่ 20 ต.ค. พร้อมเดินทางลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อติดตามความคืบหน้าการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ "ปูทะเล" ณ บ้านโต๊ะโสม ต.บางปู อ.ยะหริ่ง และการเพาะพันธุ์ปูดำหรือปูทะเล ให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
       ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาได้ส่งเสริมให้พื้นที่ริมชายฝั่งดำเนินการเพาะเลี้ยงปูเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่บริเวณชายฝั่ง แต่พบอุปสรรคหลายประการ อาทิ ต้องสั่งจองปูทะเลจากนอกพื้นที่มาเพาะเลี้ยง ซึ่งในประเทศไทยมีเพียง 2 จังหวัดเท่านั้น ได้แก่ จ.ระนอง และ จ.ชุมพร ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวนำไปสู่การเผชิญกับปัญหาอุปสงค์ส่วนเกินจากการจอง ซึ่งมีมาจากทั่วประเทศ 
         อีกทั้งการจับปูตามธรรมชาติมาปล่อยเลี้ยง ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ม.อ. ได้ดำเนินการเพาะพันธุ์ปูสำเร็จแล้ว โดยสำหรับประชาชนที่ประสงค์จะเพาะเลี้ยงลูกปูทะเล ร่วมกับ ม.อ. สามารถเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะเลี้ยง โดยใช้พื้นที่บ่อนากุ้งร้างเดิม ซึ่งไม่ต้องลงทุนใหม่ หรือ ใช้พื้นที่ตามธรรมชาติ ป่าโกงกางเก่า ซึ่งจำเป็นต้องปลูกโกงกางเพิ่ม เนื่องจากสัดส่วนป่าโกงกางในปัจจุบันลดลงจาก 170,000 ไร่ เหลือประมาณ 17,000 ไร่ 
      จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการเมืองต้นแบบ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตรผสมผสาน ต่อยอดสร้างเมืองอุตสาหกรรมเกษตรครบวงจร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่

////////////////////

สำนักข่าวโฟกัส

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *