หนังสือพิมพ์ภูมิภาค รายสัปดาห์ ของคนใต้ ปีที่ 26 ฉบับที่ 1,322 วันที่ 12 – 18 กุมภาพันธ์ 2567
บทนำ
จากคำกล่าวของคนสมัยก่อนที่ว่า “พัทลุงชังกั้ง สงขลาหมัง ตรังยอน นครรุม” สะท้อนถึงบุคลิกเฉพาะตัวของชาวบ้านในเมืองต่างๆ แถบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้เห็นว่า คนพัทลุงหรือคนเมืองลุงหรือสีกัก เป็นคนมุทะลุดุดัน เอาจริงเอาจัง คนสงขลาหรือคน
บ่อยางเป็นคนสุขุมรอบคอบไม่ค่อยกล้าตัดสินใจเด็ดขาดในยามคับขัน คนตรังหรือคนทับเที่ยงเป็นคนชอบยุยงส่งเสริมคนอื่นส่วน คนนครศรีธรรมราชหรือคนคอน เป็นคนชอบต่อสู้กับคนที่เสียเปรียบกว่า
นับว่าเป็นภาพสะท้อนถึงกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมหรือขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีคิดและวิถีชีวิตของคนสงขลาได้อีกประการหนึ่ง เพราะเบื้องหลังคนคือ วัฒนธรรม ทั้งยังมีคำกล่าวของคนสมัยก่อนที่ว่า “พัทลุง ดอน นครท่า ตรังนา สงขลาบ่อ” บอกนัยยะถึง
สภาพภูมิประเทศและอาชีพของชาวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาทั้ง 4 เมืองว่า เมืองพัทลุงมีภูมิประเทศเป็นที่สูงหรือที่ชาวใต้เรียกว่า “ดอน” หรือ “ควน” พัทลุงจึงมีชื่อบ้านนามเมืองที่มีคำว่าดอนหรือควน นำหน้ามากมาย เช่น ดอนศาลาหรือดอนหลา ดอนทราย
ดอนประดู่ ควนขนุนหรือควนหนุน ควนพร้าว ควนแร่ ควนดินสอ ควนขี้เสียน ควนถ็อบ เป็นต้น
นคร มีสภาพภูมิประเทศเป็นเมืองริมทะเลหรือริมน้ำ จึงมีชื่อบ้านนามเมืองที่มีคำว่า “ท่า” นำหน้า เช่น ท่าศาลา ท่าวัง ท่าช้าง ท่าชี ท่าม้า ท่าซัก ท่าพญา ท่าโพธิ์ เป็นต้น เมืองตรัง มีสภาพภูมิ

ประเทศเป็นที่ราบลุ่มทำนา จึงมีชื่อบ้านนามเมืองที่มีคำว่า “นา” นำหน้า เช่น นาโยง นาข้าวเสีย นาวง นาท่าม นาโต๊ะหมิง เป็นต้น เมืองสงขลา มีสภาพภูมิประเทศเป็นบ่อชื่อบ้านนามเมืองจึงมีคำว่า “บ่อ” นำหน้าหรือประกอบ เช่น บ่อยาง บ่อแดง บ่อดาน บ่อ
ประดู่ บ่อทรัพย์ บ่อเพลง บ่อทราย สามบ่อ เป็นต้น
เมื่อพูดถึงทรัพยากรเด่นๆ ในท้องถิ่น 3 จังหวัดรอบทะเลสาบสงขลา คนสมัยก่อนมีคำกล่าวติดแกกันมาว่า “นครพุงปลา สงขลาผักบุ้ง พัทลุงลอกอ” ซึ่งสะท้อนถึงผักปลาอาหารที่มีอุดมสมบูรณ์ในแต่ละเมือง เมืองนคร เป็นเมืองท่าติดชายทะเลย่อม
มีปลาเยอะ พุงปลา เป็นผลิตผลจากปลาทะเลที่มีชุกชุม เมืองสงขลา เป็นเมืองที่มีบ่อเป็นที่ราบลุ่มย่อมมี ผักบุ้ง ในน้ำในนาอุดมสมบูรณ์นำมาประกอบอาหารหรือแกงหลายชนิด เมืองพัทลุง เป็นที่ดอนย่อมปลูกผักผลไม้มาก โดยเฉพาะ มะละกอที่เป็นทั้งผักและผลไม้ ซึ่งไม่ค่อยชอบน้ำขัง(ชาวบ้านเรียกว่า “เตราะน้ำ”) จึงนิยมปลูกมากในพัทลุง
จากถ้อยคำสำนวนดังกล่าวข้างต้นทำให้ตีความได้ว่า ขนบ ธรรมเนียม ประเพณีและวิถีชีวิตของคนสงขลาหรือเมืองไหนๆ ย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม สภาพภูมิประเทศหรือสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทรัพยากร
ดังนั้น คตินิยมการตั้งบ้านเรือนของคนสงขลาหรือชาวใต้ในสมัยก่อนนิยมเลือกทำเลที่ “แคบ่อ
แค่ท่า แค่นา แค่วัด” เพื่อสะดวกในการหาน้ำกินน้ำใช้(แค่บ่อ) การคมนาคมขนส่ง(แค่ท่า) การทำมาหากิน
(แค่นา) การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา(แค่วัด)
พัฒนาการทางสังคมของสงขลา
คนสงขลา หรือ คนใต้ เป็นคนมีบุคลิกลักษณะชอบพูดจาตอบโต้ ตรงไปตรงมา โผผาง ไม่ถนอมน้ำใจ หรือรักษามารยาทกับผู้สนทนาด้วย เจรจาตอบโต้เฉียบแหลม ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ชอบแสดงตนเป็นคนกว้างขวาง กล้าได้กล้าเสีย รักศักดิ์ศรีและพิทักษ์พวกพ้องเครือญาติ เป็นคนนักเลง คำนึงถึงประโยชน์เฉพาะหน้าและเอาตัวรอด รักสนุก เกียจคร้าน ผูกพันกับตัวบุคคล รักและผูกพันกับถิ่นเกิด(ชวน เพชรแก้ว. 2534 : 103)
โลกทัศน์ ของชาวสงขลาและชาวใต้เกิดจากความรู้ ประสบการณ์และวัฒนธรรมที่สืบทอดมาแต่อดีต เป็นมรดกของชาวใต้จนปัจจุบัน โดยผ่านทางวรรณกรรม(นิทาน ตำนาน เพลง คำสอน สุภาษิตและคำพังเพย) ประกอบด้วย โลกทัศน์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติและมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ(จำเริญ แสงดวงแข. 2542 : 7026-7034)
ชีวทัศน์และโลกทัศน์ของชาวสงขลาและชาวใต้มีลักษณะร่วมกับคนไทยทั่วไปเพราะความเป็นสังคมชาวนา ชาวพุทธ มีภาษาและวัฒนธรรมไทย มีการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ราชธานี แต่ส่วนที่แตกต่างคือ บริบททางธรรมชาติแวดล้อมที่เป็นคาบสมุทรและการได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับนานาชาติอย่างต่อเนื่องมานับพันปี(เอกวิทย์ ณ ถลาง. 2544 : 123-132)
สันนิษฐานว่า ชุมชนเริ่มแรกของสงขลาน่าจะอยู่บริเวณริมทะเลตามที่พบร่องรอยมากมายตลอดแนวคาบสมุทรสทิงพระ ต่อมาเกิดความหนาแน่นด้านประชากร ประสบภัยธรรมชาติ ความร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติและปัจจัยอื่นทางธรรมชาติและวัฒนธรรม มีการอพยพย้ายถิ่นไปยังทุ่งราบและเชิงเขา เกิดเป็น 3 ชุมชน ติดต่อสัมพันธ์กันดังคำกล่าวที่ว่า “เกลอเขา เกลอเล” หรือ โหมเล โหมท่องและโหมเหนือ(หมายถึงพวกอยู่ต้นน้ำหรือไกลทะเล ไม่ได้หมายความว่า อยู่ทางทิศเหนือ เพราะคนใต้เรียกทิศเหนือว่า “ประตีน”) อันหมายถึงชาวประมงริมทะเล ชาวนาในทุ่งราบและชาวสวนบริเวณเชิงเขาขนบนิยม ของ 3 กลุ่มชุมชนคือ ระบบอุปถัมภ์
วัฒนธรรมอำนาจและวัฒนธรรมคนนักเลงตามวิถีพุทธเกษตร พัฒนาการทางศาสนาและวัฒนธรรม
ภาคใต้และสงขลา เป็นทางผ่านของวัฒนธรรมและศาสนาสำคัญของโลกทั้งพราหมณ์-ฮินดู พุทธ(มหายานและเถรวาท/หินยาน) อิสลาม และคริสต์ วัฒนธรรมของชาวสงขลา จึงมีรากเหง้ามาจากความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติและวัฒนธรรมเกษตรกรรม
บริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาหรือเมืองสงขลามีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ครั้ง อาณาจักรตามพรลิงค์ หรือ ลิกอร์ หรือ นครศรีธรรมราช(ก่อนพุทธศตวรรษที่ 10) รุ่งเรือง โดยเฉพาะ สทิงพระหรือเชี๊ยะโท้ เป็นเมืองท่าค้าขายมาตั้งแต่พ.ศ.1150 เป็น
อย่างน้อย ทั้งสองเมืองเป็นดินแดนที่ชาวอินเดียนิยมมาแสวงหาโภคทรัพย์เป็นเหตุให้ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเข้ามา
พุทธศาสนาแบบลังกาเข้ามาบริเวณนี้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17-18 วัฒนธรรมอันสืบเนื่องมาจากพุทธศาสนา ได้แก่ วัฒนธรรมด้านความเชื่อ คตินิยมและประเพณี วัฒนธรรมด้านภาษาและวัฒนธรรมด้านวรรณกรรม ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เข้ามาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 10 และพุทธศาสนามหายานตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 เปลี่ยนเป็นหีนายาน/เถรวาทในพุทธศตวรรษที่ 17 ผสมคตินิยมพราหมณ์และพุทธมหายาน
คตินิยม ความเชื่อเหล่านี้ได้แปรเป็นแนวปฏิบัติ ประเพณี ค่านิยมและพิธีกรรม ตลอดจนการสร้างสรรค์ศิลปกรรมด้านต่างๆ มากมาย ศิลปกรรมคือผลผลิตทางสังคมที่เกิดจากการประมวลเอาความรู้ ความคิดและประสบการณ์ชีวิตมาสร้างสรรค์ ก่อรูป
เป็นงานศิลปะ สะท้อนความจริงบางส่วนของสังคม
วรรณกรรม ย่อมมีอิทธิพลต่อวิถีความคิด ค่านิยม แนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะวรรณกรรมเกี่ยวเนื่องกับศาสนา วรรณกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาบางเรื่องเน้นนำเสนอแนวคิดในอันที่จะสร้างกระบวนการในการควบคุมสังคม และมีอิทธิพลต่อค่านิยม ความเชื่อ วิถีการดำเนินชีวิตและบทบาทในการควบคุมสังคม ทั้งการสร้างจิตสำนึกร่วมด้วยงานวรรณกรรม สร้างกฎระเบียบ แบบแผนของสังคมไทย โดยผ่านประเพณีและพิธีกรรมอันเกี่ยวกับแนวคิดและคตินิยม ความเชื่อจากวรรณกรรมนั้นๆ (วินัย สุกใส. 2541 : 95-96)
วรรณกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาในสงขลามี 4 ประเภท คือ 1) พระอภิธรรมและพระสูตร 2) นิยายศาสนา 3) วรรณกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคำสอนทางศาสนา 4) วรรณกรรมที่เกี่ยวกับศาสนสถาน
นิยายศาสนา เป็นวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อชุมชนสงขลามากที่สุดเพราะ 1) รูปแบบนิยายเป็นรูปแบบที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากกว่ารูปแบบอื่น 2) ลักษณะเนื้อหาที่มุ่งเน้นนำเสนอคตินิยมความเชื่อ คำสอนและอุดมคติของสังคมมากกว่าจะเน้นลักษณะประโลมโลกย์ 3) บางเรื่องใช้ประกอบพิธีกรรมบางอย่าง 4) ลักษณะของหนังสือที่เป็น “ความศักดิ์สิทธิ์” อำนาจเร้นลับ เหนือการควบคุมย่อมทำให้มีบทบาทด้านการควบคุมสังคมมากกว่าวรรณกรรมประโลมโลกย์
แนวคิดสำคัญเกี่ยวกับศาสนนิยาย ประกอบด้วย 1) แนวคิดเกี่ยวกับโลก ชีวิตและสังคม 2) แนวคิดเกี่ยวกับกรรมและวิบากกรรม 3) แนวคิดเกี่ยวกับสังคมในอุดมคติ
กระบวนการในการปฏิบัติเพื่อการควบคุมสังคมมี 4 ลักษณะคือ 1) การอธิบายโลก ชีวิตและสังคม 2) การชี้นำในสิ่งที่ดีกว่าให้คนถือปฏิบัติ 3) การห้ามปรามมิให้กระทำในสิ่งไม่ดี 4) การกล่าวถึงสังคมในอุดมคติและแนวปฏิบัติ
(อ่านต่อฉบับหน้า)