กระแสการแต่งกายด้วยชุด “มลายู” อันเป็นเอกลักษณ์ของคนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกฟื้นฟูและกลายเป็น “ไวรัล” ดึงดูด สร้างกระแสการท่องเที่ยวอย่างเป็นปรากฏการณ์ เกิดมิติใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศใกล้เคียง

น.ส.อัยดา อูเจ๊ะ นายกสมาคมการค้าการท่องเที่ยวฮาลาลไทย-อาเซียน กล่าวว่า บรรยากาศทางวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งกายด้วยชุดพื้นถิ่นของคนในพื้นที่อาจไม่เชิงเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเสียทีเดียว แต่จะเป็นการสร้างบรรยากาศของความเป็นมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย
“เขารู้สึกถึงความคล้ายคลึงของวัฒนธรรมเมื่อเข้ามาเที่ยวบ้านเรา ช่วยลดความหวาดระแวงต่อสถานการณ์ความรุนแรงลงได้มาก รู้สึกเหมือนเขามาเที่ยวบ้านพี่น้อง เช่นเมื่อเห็นการแต่งกายด้วยชุดมลายู ชุดกูรง ทั้งผู้ชายผู้หญิง ชุดเกอบายอ หรือบันดง ที่เป็นชุดผู้หญิง ก็เกิดความรู้สึกของการมีเชื้อชาติมลายูขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวที่เข้ามา ซึ่งก็มีสองความรู้สึก หนึ่งคือทำให้เกิดกระแสให้คนมลายูลุกขึ้นมาแต่งกายด้วยชุดประจำถิ่นของตัวเอง ไม่ตามแบบตะวันตก หรือแม้แต่อาหรับ เพราะมีอัตลักษณ์ของตนเองที่ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซียฝั่งสุมาตรา และจังหวัดชายแดนของเรา เมื่อเห็นบรรยากาศแบบนี้เขาก็รู้สึกอุ่นใจ เอกลักษณ์จากการแต่งกายนี้กลายเป็นไวรัลไปถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย มันดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีลักษณะเดียวกันให้มาหากัน” น.ส.อัยดา กล่าวและว่า
ในช่วงหลายสัปดาห์นี้มีนักท่องเที่ยวจากประเทศใกล้เคียงขับรถส่วนตัวเข้ามาเที่ยวแบบครอบครัวทั้งจังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี จำนวนมาก ซึ่งจากที่สำรวจร้านอาหารที่ขึ้นชื่อในจังหวัดปัตตานีพบกว่ามีนักท่องเที่ยวลักษณะมาแบบครอบครัววันละกว่า 50-60 คัน ส่วนนราธิวาสกว่า 100 คันต่อวันในช่วงวันหยุด
น.ส.อัยดา กล่าวอีกว่า ในอีกแง่มุมหนึ่งก็อาจมีคนบางกลุ่มซึ่งมีจำนวนเล็กน้อยที่พยายามสร้างกระแสเรื่องเอกราชขึ้นมาซึ่งต้องย้ำว่ามีอยู่น้อยมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้ามา 80-90 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แต่เข้ามาเพราะสนใจเรื่องของวัฒนธรรมมลายูที่เขารู้สึกว่าอยากเข้ามามีส่วนร่วมสร้างอัตลักษณ์ร่วมกัน
บรรยากาศในพื้นที่ขณะนี้คล้ายกับที่เกิดขึ้นที่เกาหลีหรือญี่ปุ่นที่ฟื้นอัตลักษณ์สร้าง ความภาคภูมิใจของเขาขึ้นมา เช่นการทำหนังทำละคร เล่าขานเรื่องราวพื้นที่ของเขาออกมาโดยรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ ซึ่งหากผู้หลักผู้ใหญ่ ภาครัฐไม่กีดขวางในเรื่องของการฟื้นฟูวัฒนธรรมของคนหนุ่มสาวในพื้นที่ ซึ่งได้ห่างหายไปนานมาก จะมีก็แต่ช่วงเทศกาลฮารีรายอเท่านั้น แต่วันนี้แม้แต่ดิฉันเองก็ลุกขึ้นมาใส่ชุดกุรง หรือเกอบายอ ชุดมลายูออกงาน จึงอยากบอกกับผู้หลักผู้ใหญ่ว่า สิ่งที่คนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาฟื้นวัฒนธรรมของพื้นที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและรัฐควรให้การสนับสนุน สื่อสารประชาสัมพันธ์ออกไปในแง่ของความสวยงามน่าชื่นชม

นายโตหอง แซ่หลี่ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอำเภอเบตง และนายกสมาคมมัคคุเทศก์จังหวัดสงขลา กล่าวว่า กระแสการสวมชุดพื้นถิ่นในจังหวัดชายแดนใต้ถือว่ายังไม่มากเท่าที่ควร ทางการต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ส่วนประเด็นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นเรื่องของอาหาร เรื่องสุขภาพ และความสวยงามของธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ
“ยกตัวอย่างเมื่อเราจัดทำสวนหมื่นบุปผาของเบตง เห็นได้ชัดว่าขณะนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากถึงกว่า 3 เท่าตัว ซึ่งหากไม่มีการจัดทำสวนหมื่นบุปผาขึ้นมานักท่องเที่ยวก็จะอยู่ในระดับเดิม เรื่องอาหารการกินที่มีรสชาติถูกปากของเขาก็ยังเป็นจุดขายสำคัญ รวมทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ การนวดเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวมาเลเซียกับสิงคโปร์ ซึ่งในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวเรามีความพร้อม ภาคเอกชนพัฒนาเดินหน้าในเรื่องนี้ตลอด เพราะเทรนด์การท่องเที่ยวสมัยนี้นักท่องเที่ยวจะเน้นเรื่องสุขภาพและธรรมชาติ ซึ่งภาครัฐก็ควรจะสนับสนุนให้มากขึ้นเพิ่มพื้นที่ใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อให้มีความหลากหลายน่าสนใจของนักท่องเที่ยว
“วันนี้เราได้รับข่าวดีว่าในส่วนของการคมนาคม ท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่ลงมาในพื้นที่ท่านรับปากว่าภายในระยะเวลา 2 ปี ท่านจะให้กระทรวงคมนาคมขยายถนนสาย ยะลา-เบตง เพิ่มเป็นสี่เลน ก็ถือว่าเป็นข่าวดีของชาวจังหวัดยะลาและนักท่องเที่ยว”