หนังสือพิมพ์ภูมิภาค รายสัปดาห์ ของคนใต้ ปีที่ 26 ฉบับที่ 1,329 วันที่ 1 – 7 เมษายน 2567

“ม.อ. โดยผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ เช่น คุณหมอประเวศ วะสี ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง คุณโสภณ สุภาพงษ์ รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีในขณะนั้น ฯลฯ มีแนวคิดจัดตั้งคณะที่สอนและวิจัยด้านความขัดแย้งและสันติศึกษา ประจวบกับ
ช่วงปี 2547 เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนใต้ ม.อ.จึงควรจะมีบทบาทในการให้ความรู้ความเข้าใจเหตุการณ์ต่อประชาชน จึงตั้งคณะกรรมการมากำหนดแนวคิดดำเนินการด้านสันติศึกษา”รศ.ดร. บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ ผู้อำนวยการสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) กล่าวถึงความเป็นมาของสถาบันฯ หนึ่งในองค์กรที่ขับเคลื่อน และสร้างเครือข่าย ทั้งด้านวิชาการและภาคประชาชนในพื้นที่มากว่าสิบปีปี 2548 มีการจัดตั้ง “สถาบันสันติศึกษา ม.อ.”

เริ่มจากเชิญคณบดีคณะทางสังคมศาสตร์มาร่วมกัน ตนขณะนั้นเป็น “คณบดีคณะวิทยาการจัดการ” มีภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ที่สอนเรื่องการจัดการบริหารภาครัฐที่มุ่งความมีประสิทธิภาพการบริการสาธารณะ และความสงบสุขของประชาชน จึงถูกเชิญ
มาเป็นคณะทำงาน ร่วมกับคณบดีคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการสื่อสาร คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยอิสลาม (ปัจจุบันคือคณะวิทยาการอิสลาม) โดยมี รศ.ดร.ประเสริฐ เป็นผู้ดำเนินการ“การจัดการความขัดแย้ง-สันติวิธีเป็นแนวคิดที่มีประโยชน์มาก ในช่วงแรกมหาวิทยาลัยให้อัตรากำลังมา 5 ตำแหน่ง เปิดสอนด้านการจัดการความขัดแย้งและสันติศึกษา ด้านจิตปัญญา อิสลามศึกษา และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสี่เสาหลักในการเริ่มต้นของสถาบันสันติศึกษา”
ปี 2551 เปิดหลักสูตรปริญญาโท สาขาความขัดแย้งและสันติศึกษา ปี 2554 ใช้ชื่อ สถาบันสันติศึกษาเปิดสอนรายวิชาเลือกเสรี ความขัดแย้งและสันติวิธีในสังคม กับความขัดแย้งและสันติภาพในอาเซียน
ปี 2561 มหาวิทยาลัยฯ วางเป้าหมายการผลิตบัณฑิตที่คาดหวัง เปิดวิชาศึกษาทั่วไป ระดับป.ตรี ชื่อรายวิชา ชีวิตที่ดี และจิตวิวัฒน์ เน้นการรู้จักตัวเอง รู้จักคนอื่น เข้าใจสังคมและการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ แตกต่างกัน สถาบันฯ เปิดสอนที่วิทยาเขตหาดใหญ่
ปี 2563 มหาวิทยาลัยได้ควบรวม สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCD) กับสถาบันสันติศึกษา ซึ่งมีลักษณะการทำงานและพันธกิจที่สอดรับกันได้
เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันที่การเรียนการสอนแบบปกติ มีจำนวนรับนักศึกษาน้อยลง สถาบันฯจึงจัดหลักสูตรแบบ Non-Deegree ขึ้นมาเมื่อปี 2565 ชื่อ “การจัดการความขัดแย้ง: เครื่องมือและการประยุกต์ใช้” ให้กับนักศึกษาและบุคคลภายนอกที่สนใจเข้าเรียน ซึ่งเปิดมาแล้วสองรุ่น และปลายเดือนเมษายนนี้ เปิดเป็นรุ่นที่สาม “หลักสูตรนี้ น่าสนใจตรงที่ผู้เข้าเรียนมีความหลากหลายมากตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ทำงานในพื้นที่ คนทำงาน NGO ทั้งในและต่างประเทศ ข้าราชการ ฯลฯ โดยออกแบบการเรียนที่ไม่เน้น
การบรรยาย มีการทำกรณีศึกษาของนักศึกษา การศึกษาดูงานนอกสถานที่ ได้เห็นความแตกต่างของความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ เช่น ปัญหาของชาติพันธุ์
“เรามีปัญหาที่ภาคใต้ แต่พอไปดูพื้นที่อื่นเขาก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ก็ได้เรียนได้รับรู้ปัญหาและพยายามช่วยกันแก้ไขเพื่อไปถึงจุดที่อยู่ร่วมกันได้ ก็เป็นประโยชน์กับผู้เรียนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้านนี้ นี่คืองานด้านการเรียนการสอนของสถาบันฯ”
ส่วนงานวิจัย CSCD มีความโดดเด่นในการศึกษากรณีความขัดแย้ง ทั้งในประเทศและระดับอาเซียน จากกรณีของเราเอง ของฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ ซึ่ง ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อดีตผู้อำนวยการ CSCD ทำงานมายาวนานและต่อเนื่องได้สร้างคนทำงานรุ่นใหม่ รวมทั้งเครือข่าย มีโครงการน่าสนใจ เช่น การสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพ (Peace Survey) ที่ทำมาแล้ว
7 ปี ซึ่งสถาบันฯได้เข้าไปร่วมทำงานมาตลอด จนถึง ช่วงควบรวมส่วนงาน มีการเพิ่มเครือข่าย ทั้งในมหาวิทยาลัยฯมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะที่สอนทางสังคมศาสตร์ ทั้งวิทยาเขตปัตตานีและหาดใหญ่ รวมทั้งเครือข่ายนอกมหาวิทยาลัย ทั้งสถาบันการศึกษาและภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนใต้การเปลี่ยนผ่านล่าสุด รศ.ดร.บุษบง จะครบวาระ วันที่ 31 มี.ค. 67 โดย ผศ.ดร.กุสุมา กูใหญ่ เข้ารับ
ตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันฯ ในวันที่ 1 เม.ย. 67 ย้อนนับตั้งแต่การก่อตั้งสถาบันฯ ผู้บริหารท่านแรกคือ รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ (2549-51) รศ.ผดุงยศ ดวงมาลา (รักษาการฯ 2551-52, 2554-55) อ.ซากีย์ พิทักษ์คุมพล (รักษาการฯ 2552-54) มีการสรรหาโดยมหาวิทยาลัยฯ รศ.ดร.บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ (2555-58), รศ.ดร.วิชัย กาญจนสุวรรณ (2558-61 และรักษาการฯ 256163) และ รศ.ดร.บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ (2563-67)

“ผู้อำนวยการท่านต่อไป ผศ.ดร.กุสุมา กูใหญ่จากรองผู้อำนวยการสถาบันฯ และท่านเป็นผอ.CSCD ที่วิทยาเขตปัตตานีด้วย การควบรวมกับสถาบันฯ ใช้ชื่อ “สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันสันติศึกษาม.อ.” นั่นคือ ยังคงชื่อ CSCD ไว้ เนื่องจากเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากองค์กรทั้งในและต่างประเทศมายาวนาน และ CSCD อยู่ภายใต้การบริหารงานและการดูแลของ สถาบันฯ มหาวิทยาลัยฯ”n“ภาพการทำงานของสถาบันสันติศึกษาจะมีการผสานเคลื่อนย้ายไปมาของสองวิทยาเขต ทั้งหาดใหญ่และปัตตานี ทั้งในการทำงานและคนทำงาน เท่ากับเรามีสองบ้าน รองรับการทำงาน”
รศ.ดร.บุษบง กล่าวด้วยว่า การสื่อสารกับกระบวนการสันติภาพเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งหากเป็นช่วงหลังความขัดแย้ง การสื่อสารแฟลตฟอร์มต่างๆ จะช่วยให้เข้าใจเรื่องของ Peace and Conflict Studiesได้มาก องค์ความรู้ความชำนาญของ ผศ.ดร.กุสุมา ซึ่ง เป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาการสื่อสาร รวมทั้งเครือข่ายทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยฯของท่าน ย่อมสร้างการรับรู้และความเข้าใจเรื่องนี้กับสังคมได้มาก “วันนี้ความขัดแย้งและการเรียนรู้เข้าใจต่อสถานการณ์ดีขึ้นมาก นักวิชาการที่สนใจ ร่วมมือกันมีความหลากหลาย และขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในส่วนกลางมากขึ้น จากการทำงานร่วมกัน เกิดเครือข่ายทั้งในม.อ. และเครือข่ายอาจารย์ จากม.ธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ม.มหิดล ม.วลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยในพื้นที่ ฯลฯ เกิดเครือข่ายวิชาการ องค์ความรู้ขยายออกไปกว้างขวาง และลงลึก
มีจุดโฟกัสมากขึ้น เช่น เรื่องการใช้กฎหมายในเขตพื้นที่พิเศษ เปรียบเทียบกับต่างประเทศและบริบทของบ้านเรา การจัดการความสนใจต่อกลุ่มเปราะบางการเห็นตัวอย่างจากหลายๆ ประเทศที่บริหารจัดการกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ได้ดี”
ทั้งหมดเมื่อใช้หลักวิชาการ การทำวิจัยก็ทำให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นมากขึ้น หรือแม้แต่ภาคประชาสังคมในพื้นที่ ก็เติบโตทั้งความคิดและการทำงานที่เข้มแข็งมากในปัจจุบัน จากเมื่อสิบกว่าปีก่อน ซึ่งพัฒนาการทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการเรียนรู้ การทำงานร่วมกัน และการสนับสนุนและผลักดันขององค์กรในประเทศและระหว่างประเทศด้วย
สถาบันสันติศึกษา สามารถใช้ความรู้และส่งต่อความเข้าใจต่างๆ ได้มากขึ้นในอนาคต ซึ่งก็คือ สิ่งที่มักเกิดขึ้นหลังความขัดแย้งก็คือ “กระบวนการของการเปลี่ยนผ่านในหลายขั้นตอนและหลายมิติ”
ไม่ว่า การเปลี่ยนผ่านสงครามสู่สันติภาพ การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจเสรี การกระจายอำนาจหรือการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย การจะเห็นขั้นตอนของการก้าวสู่สังคมหลังความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ ทีละขั้นทีละตอน ก็ต้องหมายถึง การยุติการเผชิญหน้า ไม่ใช้กำลังทางกายภาพทำร้ายกันและกัน การลงนามในข้อตกลงร่วมของคู่ขัดแย้งเพื่อยุติการเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะระดับความรุนแรงทาง
กายภาพ การเปลี่ยนสภาพกองกำลังเดิมไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน การเปิดให้คนคิดต่างได้กลับคืนสู่ภูมิลำเนาเดิม และยังรวมถึงการเพิ่มศักยภาพให้รัฐและประชาชนต่างสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรื่องคดีความ รักษากฎหมาย ลดการคอร์รัปชั่น และพัฒนาเศรษฐกิจ ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น