ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสงขลา ชี้ควรให้ “ภาคประชาสัคม-เอกชน” เป็นแกนหลักร่วมกับรัฐหนุนแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ระบุคนสร้างปัญหาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เห็นด้วย 7 มาตรการ ลำดับความสำคัญเร่งด่วน และการฟื้นฟู
นายภชรพล สังขไพฑูรย์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดสงขลา กล่าวว่า การใช้งบประมาณ 450 ล้าน ใน 3 ปี แก้ปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำนั้น ประเมินว่าน่าจะไม่เพียงพอ ต่อ 7 มาตรการ ในการกำจัดปลาหมอคางดำ ให้ลดน้อยลง เพราะขณะนี้ มีการระบาดขยายพื้นที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนมาตรการทั้ง 7 ควรจะทำเป็นลำดับ อาทิ การเร่งจับปลาขึ้นมาจากแหล่งน้ำให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วนำไปใช้ประโยชน์ เมื่อปลาลดน้อย ก็ส่งปลาผู้ล่าลงไปกำจัด
“ผมมองว่า มาตรการการให้ความรู้ เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างเร่งด่วน เพราะคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์เยอะทำให้ขยายพื้นที่ระบาดเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นำปลาหมอคางดำไปเป็นเหยื่อปลากะพง ด้วยการสับให้กิน โดยยังมีไข่อยู่ในปากตัวผู้ การนำปลาหมอคางดำไปตากแห้ง แต่ตัดหัวปลาทิ้งลงคลอง เหล่านี้
เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการระบาดเพิ่มขึ้น เรื่องให้ความรู้แก่ประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ และต้องทำก่อนอย่างเร่งด่วน” นายภชรพล กล่าว และว่า
ส่วนการจับปลาหมอคางดำออกจากคลอง วิธีที่ดีที่สุด ควรจะใช้มืออาชีพ ซึ่งเป็นการว่าจ้าง สร้างรายได้ให้กับมืออาชีพในการล่าปลาหมอคางดำ ซึ่งจะได้ปริมาณมากและรวดเร็ว
นายภชรพล กล่าวอีกว่า ควรที่จะให้ภาคเอกชน นำปลาหมอคางดำไปแปรรูป พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนกินปลาหมอคางดำให้ได้มากที่สุด ส่วนการป้องกันการแพร่กระจาย ต้องมีมาตรการที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร จะให้ทุกจังหวัดสำรวจและทำสายน้ำต่างๆ ที่มีการระบาดของปลาหมอคาง เป็นพื้นที่สีแดง กำหนดพื้นที่กันชน เพื่อเฝ้าระวังการ ระบาด และมาตรการสุดท้าย กรมประมงต้องใช้งบประมาณมาก ในการปล่อยปลาพื้นถิ่นกลับสู่ธรรมชาติ ควรจะทำหลังจากปลาหมอคางดำลดน้อยลง
ตนอยากจะเสริมมาตรการที่ยังไม่มีคือ ในกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งในระบบปิดที่มีบ่อพักน้ำ ที่ขณะนี้มีปลาหมอคางดำอยู่จำนวนมาก อยากให้รัฐบาล ควรจะจัดหากากชา ให้กับเกษตรกรในบ่อพักบ่อกุ้ง นำมากำจัดปลาหมอคางดำ ในส่วนนี้ ขอให้รีบทำโดยเร็วที่สุด
“ทุกมาตรการจะให้สำเร็จได้ โดยภาคราชการฝ่ายเดียวเป็นไปไม่ได้ ต้องมีภาคประชาสังคมเป็นแกนหลัก ภาคเอกชนมาช่วยในการนำปลาหมอคางดำไปทำประโยชน์ อีกอย่างคือ รัฐบาลควรจะไปไล่ว่าใครเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ เป็นความผิดของใคร ก็ควรต้องดูแลชดเชยความเสียหายในส่วนนี้ หากรัฐบาลทำได้หาต้นตอได้เมื่อไหร่ ก็ต้องรับภาระในงบประมาณส่วนนี้ไป” นายภชรพล กล่าว


