ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน บรรยากาศชุมชนบ้านกลาง(ติดมัสยิดกลางจังหวัดพัทลุง) เทศบาลตำบลปากพะยูน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง และชุมชนใกล้เคียงคึกคัก กลิ่นไอของ “หลาดใต้ถุน” เริ่มมาตั้งแต่เช้าตรู่ พ่อค้าแม่ค้าซึ่งเป็นคนในชุมชนและจากละแวกใกล้เคียงนำสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารพื้นถิ่นที่หาทานในวันเวลาอื่นไม่ง่ายนักมาวาง
“เราเข้ามาทำวิจัยเรื่องการจัดการทรัพยากรทะเลสาบสงขลามาตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งในพื้นที่อ.ปากพะยูน พบว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ที่เคยเป็นท่าน้ำสำคัญ เนื่องจากเป็นเมืองติดทะเลสาบ มีการคมนาคมสัญจรของประชาชนในอดีต จากตรงนี้ขึ้นไปถึงหลายอำเภอของจังหวัดพัทลุงในส่วนที่ติดทะเลสาบ และย้อนลงไปถึงหลายอำเภอของจังหวัดสงขลารวมทั้งเมืองสงขลา ถือเป็นการคมนาคมหลักเพราะมีความสะดวก” น.ส.วิจิตรา อมรวิริยะชัย หรือชาวบ้านเรียก “อาจารย์วิ” นักวิจัยจากม.ทักษิณ เล่าถึงที่มาของการการฟื้นตลาดของชุมชน
“ตรงชุมชนบ้านกลางก็มีท่าน้ำทั้งที่เป็นท่าเรือสัญจรและท่าเรือสำหรับชาวบ้านนำสัตว์น้ำขึ้นมาเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยน บริเวณนี้จึงเคยเป็นตลาดของคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่า เรียกว่า “หลาดใต้ถุน” เราจึงสนใจและรวมกลุ่มผู้นำชุมชน ชาวบ้าน เยาวชนในละแวกมาคุยกัน ประชุมแลกเปลี่ยน เดินทางดูงาน ใช้ระยะเวลานานก่อนจะเปิดตลาด จนกลายเป็นหลาดใต้ถุน โดยวัตถุประสงค์หลักเป็นการฟื้นประวัติศาสตร์ชุมชนและอนุรักษ์บางสิ่งบางอย่างที่หายไป นำมาสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับปัจจุบัน”
“อาจารย์วิ” เล่าอีกว่า ความโดดเด่นของตลาดจะเป็นเรื่องของอาหารพื้นถิ่นที่มีหลากหลาย ใช้วัตถุดิบของพื้นถิ่นที่พิถีพิถันในการทำเช่นการทำแป้งบด การเลือกวัตถุดิบต่างๆ คนทำที่ต้องมีความชำนาญเฉพาะ และอาหารหลายอย่างก็หาทานยาก เช่น ขนมครกน้ำแกง ขนมหมอจี๋ กุ้งไม้ กุ้งแนม ลูกเห็ด(กุ้ง) ที่สำคัญคือได้เห็นวิถีชุมชนแต่ครั้งโบราณ เห็นบ้านเรือนโบราณเพราะใช้บ้านของเขาเองทำตลาด และธรรมชาติ เห็นทะเลสาบที่สงบสวยงาม
เป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงานนอกจากม.ทักษิณ ก็มีสมาคมรักษ์ทะเลไทย เทศบาลตำบลปากพะยูน อ.ปากพะยูน ฯลฯ และทำอย่างต่อเนื่อง เห็นความตั้งใจของชุมชนที่รวมกันทั้ง เขา นา เล เรามีเครือข่าย เกลอเขา เกลอนา เกลอเล มีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพราะสายน้ำทะเลสาบก็ไหลมาจากต้นน้ำ มากลางน้ำคือที่นี่ และลงสู่ปลายน้ำที่สงขลา ซึ่งในการทำหลาดใต้ถุน เราก็ได้เรียนรู้และได้ที่ปรึกษาสำคัญ คือ “พี่หยอย” นางประไพ ทองเชิญ ผู้ร่วมทำ “หลาดใต้โหนด” มาคอยให้คำปรึกษาและพาชุมชนเดินทางไปดูงาน จนเกิดเป็นรูปเป็นร่างในวันนี้
“เราเริ่มเปิดตลาดเมื่อเดือนเมษายน ปี 2566 เห็นชุมชนมีความครึกครื้นภาคภูมิใจ ชุมชนที่นี่เขามีความน่าสนใจ มีความเป็นอินดี้เป็นตัวเองสูง มีทักษะหลายๆ อย่างเช่นเชิงช่าง เชิงศิลป์ ความรู้ในการทำอาหารโบราณที่สืบทอดมา เรามีเยาวชนนักเรียนในชุมชนเข้ามาร่วม โรงเรียนนำนักเรียนเข้ามาก็เป็นการสร้างทัศนคติที่ดีและการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชุมชนของเขาเอง ซึ่งในเฟสต่อไปเราก็วางแผนพัฒนาไปสู่การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และชุมชนให้กว้างขึ้นต่อเนื่องต่อไป”
น.ส.กานต์วรี ธารีสืบ เจ้าของแบรนด์ “ข้าวยำเกาะหมาก” เล่าว่า วันนี้ตลาดมาอยู่หน้าบ้าน เป็นโอกาสในการสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน “ทำข้าวยำกะลา-เกาะหมาก มา 20 ปี ถือว่าเป็นอาหารที่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพของคนปัจจุบัน คือทำอาหารให้เป็นยา วันนี้เราเห็นความสามัคคีของคนในชุมชนซึ่งปกติจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันมากนักในปัจจุบัน บ้านเรือนก็ร้างไปบ้างก็ได้กลับมาฟื้นฟู ได้หันมาพูดคุยกัน ร่วมกันคิดร่วมกันทำตลาด ยิ่งตลาดได้รับรางวัลจากสมเด็จพระเทพฯ ที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ ก็เป็นความภูมใจของเราที่ทำงานเหนื่อยยาก ได้ย้อนให้คนรุ่นหลังได้เห็นความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษ ความรุ่งเรือง จนมาถึงวันที่ทะเลไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อน เพื่อเขาจะได้เข้าใจเห็นความสำคัญของฐานทรัพยากรและร่วมสร้างสรรค์ฟื้นฟู ซึ่งในวันนี้หลายๆ อย่างก็เริ่มจะดีขึ้นมา” น.ส.กานต์วรี กล่าว











