นักบริหารพัฒนาท้องถิ่น“นายกสุริยา ยีขุน”​ศิษย์เก่าดีเด่นม.อ.3รางวัล

suriya

คอลัมน์ PSU Alumni โดย สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) สัปดาห์นี้มาคุยกับ “นายกสุริยา” นายสุริยา ยีขุน นายก
เทศมนตรีตำบลปริก ศิษย์เก่า​ดีเด่น จากคณะมนุษยศาสตร์ ม.อ. วิทยาเขต​ปัตตานี​ ซึ่งเป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาชุมชน จนเป็นตัวอย่าง และได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย

428202309 7596106633734667 6408234664241962563 n

“นายกสุริยา” สอบเอ็นเข้าเรียนที่คณะมนุษย​ศาสตร์ สาขาสังคมวิทยามนุษยวิทยา​ ม.อ.เพราะเป็นมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ที่คนในครอบครัวสนับสนุนให้เรียนที่นี่ รุ่นที่ 2 ปี 2519 โดย “ซิ่ว” มา​2 ​ ปี จากการค้นหาตัวเองจากมหาวิทยาลัยอื่น

นายกสุริยา จบมัธยมศึกษา​ที่โรงเรียนสะเดาขรรค์ชัยกัมพลานนท์อนุสรณ์ เกิดและเติบโต​ที่ต.ปริก​ อ.สะเดา​ จ.สงขลา​ ใน “ครอบครัว​ผู้นำ” พ่อเป็นกำนัน​“กำนันอดุลย์ ยีขุน” คุณทวดคือ “ขุนดำรงค์” และ“ขุนพิทักษ์” ต่อมาคุณปู่คือ ขุนอภิรมย์ ณ ปริกคามได้รับการแต่งตั้ง​จากที่รัชกาลที่​ 5​ และพระราชทาน​นามสกุล​ให้ด้วย​ โดยตำแหน่ง​ “ขุน”​ คือ “กำนัน”​ ในปัจจุบั​น​ และเป็นที่มาของนามสกุล​ “ยีขุน”​

ช่วงปี​ 1​ เทอมแรกที่เข้าเรียน ใช้ชีวิตเช่นเดียวกับนักศึกษา​ทั่วไป เมื่อเข้าเทอม​ 2​ ได้สัมผั​สในหมู่บ้านรูสะมิแล มีการนำ​ไข่ไก่มาแลกกับเสื้อผ้า​ จึงเห็นความยากลำบาก​ และคิดว่า ถ้าเราเรียนแล้วต้องไม่ทิ้งคนที่ลำบาก​ จึงเกิดความรู้สึกอยากรับใช้สังคม​ ซึ่งสอดคล้องปณิธาน​ของพระราชบิดา​ที่ว่า “ประโยชน์​ของเพื่อนมนุษย์​เป็นกิจที่หนึ่ง”​

จากนั้น จึงมุ่งทำกิจกรรมามากกว่าเข้าเรียนโดยคอยช่วยทำช่วยงานศิลป์ เขียนโปสเตอร์ให้ทุกการกลุ่มกิจกรรม ทั้งชมรมอาสา​พัฒนา สโมสร​นักศึกษา​ จากนั้นเป็น “ประธานชมรมซูม​” (ถ่ายภาพ).ประธานกีฬาสี ปี 3​ มีความคิดอยากทำประโยชน์​เพื่อสังค​มชัดเจนมากขึ้น

“ม​.อ.​ปัตตานี เป็นวิทยาเขต​ที่มีความอบอุ่น​เป็นกันเอง​ มีความผูกพัน​กับพื้น​ที่​ โดยเฉพาะตำบล​รูสะมิแล​ ใช้ชีวิตเป็น​ทั้งที่พัก​ ที่เรียน สะท้อนถึงความเป็นชนบท เป็นมหาวิทยาลัย​ท้องถิ่นอย่างแท้จริง​”​

การที่ได้เรียนคณะมนุษย์ศาสตร์​ฯ ช่วงปี​ 3-4ทำให้เห็นถึงความสำคัญ​ของชุมชน​ความแตกต่าง​ระหว่าง​ชุมชน​ต่าง​ๆ​ความเป็นกลุ่มคนแต่ละพื้นที่​ที่มีหลายกลุ่มคนทำให้​เห็นว่าถ้าเราวิเคราะห์​ลักษณะ​ของชุมชน​ กลุ่ม​คน​ ภูมิสังคม​ ทำให้สามารถ​ออกแบบในการพัฒนา​ทาง​สังคม​ได้​

“อาจารย์​​ได้สอนให้เรียนรู้​ทฤษฎี​ทางสังคมวิทยา​​ ทั้งบทบาทหน้าที่​ ทำให้สามารถวิเคราะห์​สังคม​หรือโครงสร้างได้​ รวมถึง​สอนเรื่องนิเวศ​วิทยา​ การตั้งถิ่นฐาน​ การออกแบบเมือง​ การตั้งผังเมือง​ ระบบการจัดการเมือง​ และการออกแบบเมืองเชิงระบบ”

หลังเรียนจบก็เข้าทำงานที่ “ศูนย์สงเคราะห์ผู้ลี้ภัยอินโดจีน” อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณของ UNHCR อยู่ระยะหนึ่งได้เปลี่ยนไปทำงานทางด้านการพัฒนาสาธารณสุขมูลฐาน และการพัฒนาชนบทแบบผสมผสาน กับ“สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน​(PDA)” ที่ อ.พุธไทสง จ.บุรีรัมย์, “ศูนย์พัฒนาชนบทเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านซับใต้” อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ “ศูนย์พัฒนาชนบทแบบผสมผสาน(CBIRD)” อ.จักราช จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนี​ ทำให้​อยู่​แบบติดดิน​ ​มีความคิดที่ชัดเจนขึ้น​เพราะทำงานด้านการพัฒนา​แล้วมีความลงตัว​ รวมถึงทำงานด้านความร่วมมือ​ไทย-เยอรมัน​

จากนั้น ได้เรียนต่อปริญญาโทสังคมศาสตร์(สคม.) สาขาสิ่งแวดล้อม ที่มหาวิทยาลัยมหิดล

ซึ่งเรื่องสิ่งแวดล้อม​กำลังมีความสนใจและสอดคล้อง​กับงานที่ทำ เมื่อเรียนจบได้เป็นฟรีแลนซ์​ด้านสิ่งแวดล้อม​ และเปลี่ยนมาทำงานในโครงการความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับ USAID ประเทศสหรัฐอเมริกา และโครงการความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับ DANCED ประเทศเดนมาร์ค​ เป็นวิทยากร​บรรยาย​ให้กับศูนย์​หรือมูลนิธิ​ต่าง​ ๆ

“ได้ทำประโยชน์​ให้ส่วนรวม​ สามารถ​นำสิ่งที่เรียนมาใช้อย่างเต็มที่​กับงานพัฒนา​ชนบท​ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม​ การออกแบบเมือง​ มาบูรณาการ​ร่วมกันได้”​

ปี​ 2539 ได้ทำงานในตำแหน่งนักวิชาการ ประจำศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จังหวัด​นครศรีธรรมราช ให้บริการชุมชน​และสังคม​ การพัฒนา​ชนบท​ ประมาณ 2 ปี

จากนั้น ในปี 2542 ญาติที่บ้าน รวมถึงเพื่อน​ๆ​ชักชวนให้​สมัคร​นายกเทศมนตรีตำบลปริก และได้ดำรงตำแหน่ง​มาจนปัจจุบัน​ ​

“สมัยแรกของการทำงานอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง​เพราะงบประมาณ​ค่อนข้าง​น้อยมาก​ เป็นค่าใช้จ่าย​ประจำเกือบทั้งหมด​ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำงาน​ เพราะชาวบ้านมีความคาดหวัง​”

จึงพยายาม​คิดหาโครงการ​ที่ไม่ใช้งบประมาณ​มาก​ในการจัดการสิ่งแวดล้อม​ จึงเกิดเป็นการจัดการขยะ​ในปี​ 2543 ได้​เชิญ​อาจารย์​ นักศึกษา​จาก​ ม.อ. มาทำเวิร์คช็อป​ ทำวิทยานิพนธ์​ในพื้นที่​ ด้านการจัดการขยะ​ สิ่งแวดล้อม​ รวมถึงการรวมกลุ่ม​ โดยใช้ความรู้ที่เรียนมาและสิ่งที่มีความถนัด​มาบูรณาการร่วมกัน

“ผมดำรงตำแหน่ง​มา​กว่า​ 2​5​ ปี​ ได้เห็นความอยู่ดีมีสุข​ รอยยิ้มของชาวบ้าน​ ความสงบสุข​ ความสันติ​ ทำให้มีความสุข ได้ทำกิจกรรม​ร่วมกับเทศบาล​ให้ชาวบ้านมีคุณ​ภาพชีวิต​ที่ดี​ จากเดิมที่คนในชุมชน​ยังไม่กล้าแสดงออก​ ผมจึงสร้างกระบวนการเรียนรู้​ในการพัฒนา​คน ทำให้ปัจจุบัน​กล้าพูด​ กล้าคิด​ กล้าแสดงออกได้อย่างชัดเจน​ ถือเป็นความสำเร็จ​ของการสร้างคน”​

สอดคล้อง​กับวิสัยทัศน์​ของเทศบาลในปี​ 2543​ “เศรษฐกิจพอเพียง ร้อยเรียงวิถีชุมชน คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา ประชาสังคมสันติสุข”​

ศิษย์เก่าดีเด่น 5 รางวัล 3 มหาวิทยาลัย


ประสบการณ์ด้วยการทำงาน ทั้งในภาคราชการ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน​(NGOs) โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ และในระดับมหาวิทยาลัย นำมาปรับใช้ได้มาก

“แน่นอนว่าการสร้างคน​ ม.อ.​ สร้างผมมา ได้รับวิทยายุทธ์​มาจากการเรียน​ ม.อ.​ ผมก็มาสร้างพัฒนาคนต่อ นำปณิธาน​พระราชบิดามาใช้ให้เกิดประโยชน์​นั่นคือ​ ถือประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์​เป็นกิจที่หนึ่ง​การทำงาน​ในฐานะนายกเทศมนตรี​ ทำอะไรต้องนึกถึงความสุข​ของชาวบ้านก่อนเสมอ​ ​ยึดชาวบ้านเป็นที่ตั้ง เพื่อแปลงโจทย์​นำไปสู่การพัฒนา”

นายกสุริยา เป็นศิษย์เก่า ม.อ. ที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ ถึง​ 3​ รางวัล​คือ​ ศิษย์เก่าดีเด่นคณะมนุษยศาสตร์​ฯ​ ปี​ 2560, ศิษย์เก่า​ดีเด่น ม.อ.​ ปี​ 2561​ ​และล่าสุดได้รับรางวัลศิษย์เก่า​ทรงคุณค่า​ ในงานครบรอบ​ 50​ ปี​ของคณะ​ฯ

ทั้งยังได้รับรางวัล​ศิษย์เก่า​ดีเด่น​ มหาวิทยาลัย​มหิดล​ และวิทยาลัยปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัย​ขอนแก่นด้วย​

“รางวัลที่ได้เป็นเสมือนขวัญ​กำลังใจ เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ทำประโยชน์​ให้กับสังคม​ ทำให้​เห็นว่าสิ่งที่เราทำ มีคนเห็นถึง​คุณค่า​ นำไปสู่​การยกย่องเชิดชู​เกียรติ”

ในฐานะผู้บริหารท้องถิ่น​​ ได้นำความรู้​ไปสู่การพัฒนา​ การกำหนดนโยบาย​นำไปสู่การปฏิบัติ​ การสร้างทีมสร้างคน​ ได้ทะลายกำแพงการทำงาน​ที่ช่วยเพื่อนได้​ หนุนเสริมกันได้​ โดยกำหนดสูตรการทำงานของเทศบาล​ “3​ พลัง” ​ในการทำงานของแต่ละทีมคือ Coach, Tandem และ Phummibuttra

โมเดลนี้สร้างการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม​พอปรับลงไปในโครงการ หรือกลุ่มองค์กรต่างๆหัวหน้าที่รับผิดชอบก็เป็นพี่เลี้ยง, คณะทำงานเป็นเพื่อนหนุนพี่นำ และชาวบ้านที่เข้าร่วมก็เป็นภูมิบุตรา ทำให้เห็นความเป็นไตรพลังในระดับชุมชนสร้างผลสำเร็จให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาคใต้ควรมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

นายกสุริยา มองการพัฒนา​ภาคใต้ว่า ต้องอยู่บนพื้นฐาน​การพัฒนา​เศรษฐกิจ​ฐานรากสามารถ​สร้างสังคม​ที่ยั่งยืน​ได้​ ฉะนั้น​ การส่งเสริมเศรษฐกิจ​ในระดับรากหญ้า​ ถือเป็นความจำเป็นที่ทุกชุมชน​ทุกหย่อมหญ้า​สามารถ​ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ​ในระดับชุมชน​ของเขาได้​ อาทิ​ ผู้ประกอบการ​ SME วิสาหกิจ​ชุมชน​ หรือการส่งเสริม​ภาคเกษตร​ที่เป็นฐานการผลิตในระดับชุมชน​ให้เกิดความมั่นคง​ทางอาหาร​
ถือเป็นส่วนหนึ่ง​ที่มีความสำคัญ​ของประชาชนในภาคใต้

อีกส่วนในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ​และสิ่งแวดล้อม​ ได้ถูกแยกส่วนการใช้​ อาทิ​ พืชเชิงเดี่ยวหรืออุตสาหกรรม​ สภาพแวดล้อม​ไม่สมบูรณ์​เช่นเดิม​ ทั้งทรัพยากร​ทางน้ำ​ ทางทะเล​ ทางบก​ ป่าไม้ภูเขา​ ล้วนแล้วถูกทำลายไปโดยการนำมาในการใช้ผลิต

ฉะนั้น​ ต้องมา​ทบทวน​ในการผลิตหรือการสร้างรายได้​ที่เป็นมิตร​ต่อ​สิ่งแวดล้อม​ จะต้องทำลายสิ่งแวดล้อม​น้อยลง​และเกิดประโยชน์​ทางเศรษฐกิจ​ไปด้วยควบคู่​กัน​ ทั้งเศรษฐกิจ​ในภาคการเกษตร​ อุตสาหกรรม​ และการบริการ​อื่น​ ๆ

ดังนั้น​ “เศรษฐกิจ​สีเขียว”​ ถือเป็นเรื่องจำเป็น​ที่ต้องส่งเสริม​และผลักดัน​ให้เกิดขึ้น​จริง​ หรือเศรษฐกิจ​เชิงสร้างสรรค์​ที่ต้องทำอย่างจริง​จัง​ จะได้เห็นถึงความผสมกลมกลืน​ด้านเศรษฐกิจ​ ​สังคม​ และสิ่งแวดล้อม​ได้​ ขณะเดียวกัน วัฒนธรร​มหรือวิถีชีวิตชุมชน​ก็จะเกิดตามมาโดยปริยาย​ ถ้าเราสามารถ​ใช้ฐานรากเพื่อฟื้นฟู​เศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับพันธกิจ​ของเทศบาล ที่ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจ​ฐานราก​ สร้างสังคม​แห่ง​การเรียนรู้​ ควบคู่โครงสร้างพื้นฐาน​ เอื้ออาทร​ เจือจาน สืบสาน​วิถี​ชุมชน​ท้องถิ่น​ ดังนั้น​ การฟื้นฟู​เศรษฐกิจ​ฐานราก​ บนพื้นฐาน​ของการสร้างความยั่งยืน​ และเป็​นมิตรกับสิ่งแวดล้อม​เป็นประเด็น​ที่สำคัญ​อย่างยิ่ง

โดยการพัฒนา​เพื่อนำไปสู่​ความยั่งยืน​อีกมิติหนึ่ง​คือ​ การพัฒนา​คน​

“สงขลา​ เป็นเมืองแห่งการศึกษาและ​เรียนรู้​ฉะนั้น ต้องทำอย่างจริงจัง​ ต้องสร้าง​กระบวนการ​การศึกษา​ให้คนเป็นพลเมืองรับผิดชอบต่อตนเอง​ สังคม​ และส่วนรวมได้​ รวมถึงการมีสัมมาชีพ​ มีความเป็​นพลเมืองที่ดี​ช่วยเหลือ​กัน​พากันไปเป็นกลุ่ม​ การศึกษา​เพื่อปวงชน​ Education for all, All for Education​ สร้างคนให้เป็นพลเมือง​ นำการศึกษา​ที่ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของ​โลก”

หวังม.อ.เพิ่มความเข้มข้นพัฒนาชุมชน

สำหรับ ม.อ. ซึ่งได้ลงชุมชน​อยู่แล้ว​ เพียงแต่เพิ่มความเข้มข้นในการเข้าถึงสัมผัส​กับชุมชนอย่างลึกซึ้ง​ เพื่อให้เกิด Outreach to Community งานวิจัยที่เกิดประโยชน์​ต่อชุมชน​

บุคลากรของมหาวิทยาลัยต้อง Out Reach หรือการออกสู่ชุมชน​ ต้องไม่สร้างกำแพงล้อมตัวเอง​ต้องนำคลังแห่งปัญญา​ไปสู่การพัฒนาชุมชน​ เพิ่มความเข้มข้นของงานวิจัยไปสู่การปฏิบัติ​ และนำผลงานวิจัยไปสู่การจัดทำแผนงานของโครงการในระดับพื้นที่​

งานที่​ ม.อ. ต้องให้ความสำคัญ​ นั่นคือ​ งานพัฒนา​เมืองในทุกมิติ​ เทรนด์ของโลกให้ความสำคัญ​การพัฒนา​พื้นฐาน​จะต้องเริ่มที่เมืองหรือชุมชน​แล้วจะนำไปสู่การพัฒนา​ประเทศ​ เมืองเปลี่ยน​ประเทศ​ ชุมชน​เปลี่ยนประเทศเปลี่ยน​

“การที่​ ม.อ.เป็นคลังแห่ง​ความรู้​ เป็น​แหล่งวิทยะปัญญา​ มีชุดความรู้​ งานวิจัย​ ผลงานทางวิชาการมากมาย​ ต้องนำไปสู่การสร้างประโยชน์​ในการพัฒนา​เมืองให้ได้” นายกสุริยา กล่าว และว่า

ปัจจุบัน​ ภายใต้ภาวะความเปลี่ยนแปลง​ทางภูมิอากาศ​ ม.อ. ต้องให้ความเข้มข้นในเรื่องการสร้างเมืองที่ปรับตัว และมีความยืดหยุ่น​ นำไปสู่ความยั่งยืน​ได้​​ มีความมั่งคงทางเศรษฐกิจ​ ความมั่นคง​ทางการเกษตร​ อาหาร​ การเมืองการปกครอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *