คอลัมน์ PSU Alumni โดย สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) สัปดาห์นี้มาคุยกับ “นายกสุริยา” นายสุริยา ยีขุน นายก
เทศมนตรีตำบลปริก ศิษย์เก่าดีเด่น จากคณะมนุษยศาสตร์ ม.อ. วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งเป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาชุมชน จนเป็นตัวอย่าง และได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย

“นายกสุริยา” สอบเอ็นเข้าเรียนที่คณะมนุษยศาสตร์ สาขาสังคมวิทยามนุษยวิทยา ม.อ.เพราะเป็นมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ที่คนในครอบครัวสนับสนุนให้เรียนที่นี่ รุ่นที่ 2 ปี 2519 โดย “ซิ่ว” มา2 ปี จากการค้นหาตัวเองจากมหาวิทยาลัยอื่น
นายกสุริยา จบมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสะเดาขรรค์ชัยกัมพลานนท์อนุสรณ์ เกิดและเติบโตที่ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา ใน “ครอบครัวผู้นำ” พ่อเป็นกำนัน“กำนันอดุลย์ ยีขุน” คุณทวดคือ “ขุนดำรงค์” และ“ขุนพิทักษ์” ต่อมาคุณปู่คือ ขุนอภิรมย์ ณ ปริกคามได้รับการแต่งตั้งจากที่รัชกาลที่ 5 และพระราชทานนามสกุลให้ด้วย โดยตำแหน่ง “ขุน” คือ “กำนัน” ในปัจจุบัน และเป็นที่มาของนามสกุล “ยีขุน”
ช่วงปี 1 เทอมแรกที่เข้าเรียน ใช้ชีวิตเช่นเดียวกับนักศึกษาทั่วไป เมื่อเข้าเทอม 2 ได้สัมผัสในหมู่บ้านรูสะมิแล มีการนำไข่ไก่มาแลกกับเสื้อผ้า จึงเห็นความยากลำบาก และคิดว่า ถ้าเราเรียนแล้วต้องไม่ทิ้งคนที่ลำบาก จึงเกิดความรู้สึกอยากรับใช้สังคม ซึ่งสอดคล้องปณิธานของพระราชบิดาที่ว่า “ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง”
จากนั้น จึงมุ่งทำกิจกรรมามากกว่าเข้าเรียนโดยคอยช่วยทำช่วยงานศิลป์ เขียนโปสเตอร์ให้ทุกการกลุ่มกิจกรรม ทั้งชมรมอาสาพัฒนา สโมสรนักศึกษา จากนั้นเป็น “ประธานชมรมซูม” (ถ่ายภาพ).ประธานกีฬาสี ปี 3 มีความคิดอยากทำประโยชน์เพื่อสังคมชัดเจนมากขึ้น

“ม.อ.ปัตตานี เป็นวิทยาเขตที่มีความอบอุ่นเป็นกันเอง มีความผูกพันกับพื้นที่ โดยเฉพาะตำบลรูสะมิแล ใช้ชีวิตเป็นทั้งที่พัก ที่เรียน สะท้อนถึงความเป็นชนบท เป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่นอย่างแท้จริง”
การที่ได้เรียนคณะมนุษย์ศาสตร์ฯ ช่วงปี 3-4ทำให้เห็นถึงความสำคัญของชุมชนความแตกต่างระหว่างชุมชนต่างๆความเป็นกลุ่มคนแต่ละพื้นที่ที่มีหลายกลุ่มคนทำให้เห็นว่าถ้าเราวิเคราะห์ลักษณะของชุมชน กลุ่มคน ภูมิสังคม ทำให้สามารถออกแบบในการพัฒนาทางสังคมได้
“อาจารย์ได้สอนให้เรียนรู้ทฤษฎีทางสังคมวิทยา ทั้งบทบาทหน้าที่ ทำให้สามารถวิเคราะห์สังคมหรือโครงสร้างได้ รวมถึงสอนเรื่องนิเวศวิทยา การตั้งถิ่นฐาน การออกแบบเมือง การตั้งผังเมือง ระบบการจัดการเมือง และการออกแบบเมืองเชิงระบบ”
หลังเรียนจบก็เข้าทำงานที่ “ศูนย์สงเคราะห์ผู้ลี้ภัยอินโดจีน” อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณของ UNHCR อยู่ระยะหนึ่งได้เปลี่ยนไปทำงานทางด้านการพัฒนาสาธารณสุขมูลฐาน และการพัฒนาชนบทแบบผสมผสาน กับ“สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน(PDA)” ที่ อ.พุธไทสง จ.บุรีรัมย์, “ศูนย์พัฒนาชนบทเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านซับใต้” อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ “ศูนย์พัฒนาชนบทแบบผสมผสาน(CBIRD)” อ.จักราช จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนี ทำให้อยู่แบบติดดิน มีความคิดที่ชัดเจนขึ้นเพราะทำงานด้านการพัฒนาแล้วมีความลงตัว รวมถึงทำงานด้านความร่วมมือไทย-เยอรมัน
จากนั้น ได้เรียนต่อปริญญาโทสังคมศาสตร์(สคม.) สาขาสิ่งแวดล้อม ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
ซึ่งเรื่องสิ่งแวดล้อมกำลังมีความสนใจและสอดคล้องกับงานที่ทำ เมื่อเรียนจบได้เป็นฟรีแลนซ์ด้านสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนมาทำงานในโครงการความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับ USAID ประเทศสหรัฐอเมริกา และโครงการความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับ DANCED ประเทศเดนมาร์ค เป็นวิทยากรบรรยายให้กับศูนย์หรือมูลนิธิต่าง ๆ
“ได้ทำประโยชน์ให้ส่วนรวม สามารถนำสิ่งที่เรียนมาใช้อย่างเต็มที่กับงานพัฒนาชนบท การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การออกแบบเมือง มาบูรณาการร่วมกันได้”
ปี 2539 ได้ทำงานในตำแหน่งนักวิชาการ ประจำศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้บริการชุมชนและสังคม การพัฒนาชนบท ประมาณ 2 ปี
จากนั้น ในปี 2542 ญาติที่บ้าน รวมถึงเพื่อนๆชักชวนให้สมัครนายกเทศมนตรีตำบลปริก และได้ดำรงตำแหน่งมาจนปัจจุบัน
“สมัยแรกของการทำงานอึดอัดเป็นอย่างยิ่งเพราะงบประมาณค่อนข้างน้อยมาก เป็นค่าใช้จ่ายประจำเกือบทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำงาน เพราะชาวบ้านมีความคาดหวัง”
จึงพยายามคิดหาโครงการที่ไม่ใช้งบประมาณมากในการจัดการสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นการจัดการขยะในปี 2543 ได้เชิญอาจารย์ นักศึกษาจาก ม.อ. มาทำเวิร์คช็อป ทำวิทยานิพนธ์ในพื้นที่ ด้านการจัดการขยะ สิ่งแวดล้อม รวมถึงการรวมกลุ่ม โดยใช้ความรู้ที่เรียนมาและสิ่งที่มีความถนัดมาบูรณาการร่วมกัน
“ผมดำรงตำแหน่งมากว่า 25 ปี ได้เห็นความอยู่ดีมีสุข รอยยิ้มของชาวบ้าน ความสงบสุข ความสันติ ทำให้มีความสุข ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเทศบาลให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากเดิมที่คนในชุมชนยังไม่กล้าแสดงออก ผมจึงสร้างกระบวนการเรียนรู้ในการพัฒนาคน ทำให้ปัจจุบันกล้าพูด กล้าคิด กล้าแสดงออกได้อย่างชัดเจน ถือเป็นความสำเร็จของการสร้างคน”
สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเทศบาลในปี 2543 “เศรษฐกิจพอเพียง ร้อยเรียงวิถีชุมชน คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา ประชาสังคมสันติสุข”
ศิษย์เก่าดีเด่น 5 รางวัล 3 มหาวิทยาลัย

ประสบการณ์ด้วยการทำงาน ทั้งในภาคราชการ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน(NGOs) โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ และในระดับมหาวิทยาลัย นำมาปรับใช้ได้มาก
“แน่นอนว่าการสร้างคน ม.อ. สร้างผมมา ได้รับวิทยายุทธ์มาจากการเรียน ม.อ. ผมก็มาสร้างพัฒนาคนต่อ นำปณิธานพระราชบิดามาใช้ให้เกิดประโยชน์นั่นคือ ถือประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่งการทำงานในฐานะนายกเทศมนตรี ทำอะไรต้องนึกถึงความสุขของชาวบ้านก่อนเสมอ ยึดชาวบ้านเป็นที่ตั้ง เพื่อแปลงโจทย์นำไปสู่การพัฒนา”
นายกสุริยา เป็นศิษย์เก่า ม.อ. ที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ ถึง 3 รางวัลคือ ศิษย์เก่าดีเด่นคณะมนุษยศาสตร์ฯ ปี 2560, ศิษย์เก่าดีเด่น ม.อ. ปี 2561 และล่าสุดได้รับรางวัลศิษย์เก่าทรงคุณค่า ในงานครบรอบ 50 ปีของคณะฯ
ทั้งยังได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น มหาวิทยาลัยมหิดล และวิทยาลัยปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วย
“รางวัลที่ได้เป็นเสมือนขวัญกำลังใจ เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำ มีคนเห็นถึงคุณค่า นำไปสู่การยกย่องเชิดชูเกียรติ”
ในฐานะผู้บริหารท้องถิ่น ได้นำความรู้ไปสู่การพัฒนา การกำหนดนโยบายนำไปสู่การปฏิบัติ การสร้างทีมสร้างคน ได้ทะลายกำแพงการทำงานที่ช่วยเพื่อนได้ หนุนเสริมกันได้ โดยกำหนดสูตรการทำงานของเทศบาล “3 พลัง” ในการทำงานของแต่ละทีมคือ Coach, Tandem และ Phummibuttra
โมเดลนี้สร้างการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมพอปรับลงไปในโครงการ หรือกลุ่มองค์กรต่างๆหัวหน้าที่รับผิดชอบก็เป็นพี่เลี้ยง, คณะทำงานเป็นเพื่อนหนุนพี่นำ และชาวบ้านที่เข้าร่วมก็เป็นภูมิบุตรา ทำให้เห็นความเป็นไตรพลังในระดับชุมชนสร้างผลสำเร็จให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภาคใต้ควรมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
นายกสุริยา มองการพัฒนาภาคใต้ว่า ต้องอยู่บนพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากสามารถสร้างสังคมที่ยั่งยืนได้ ฉะนั้น การส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า ถือเป็นความจำเป็นที่ทุกชุมชนทุกหย่อมหญ้าสามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระดับชุมชนของเขาได้ อาทิ ผู้ประกอบการ SME วิสาหกิจชุมชน หรือการส่งเสริมภาคเกษตรที่เป็นฐานการผลิตในระดับชุมชนให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร
ถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญของประชาชนในภาคใต้
อีกส่วนในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ถูกแยกส่วนการใช้ อาทิ พืชเชิงเดี่ยวหรืออุตสาหกรรม สภาพแวดล้อมไม่สมบูรณ์เช่นเดิม ทั้งทรัพยากรทางน้ำ ทางทะเล ทางบก ป่าไม้ภูเขา ล้วนแล้วถูกทำลายไปโดยการนำมาในการใช้ผลิต
ฉะนั้น ต้องมาทบทวนในการผลิตหรือการสร้างรายได้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะต้องทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลงและเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปด้วยควบคู่กัน ทั้งเศรษฐกิจในภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการบริการอื่น ๆ
ดังนั้น “เศรษฐกิจสีเขียว” ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องส่งเสริมและผลักดันให้เกิดขึ้นจริง หรือเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ต้องทำอย่างจริงจัง จะได้เห็นถึงความผสมกลมกลืนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้ ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตชุมชนก็จะเกิดตามมาโดยปริยาย ถ้าเราสามารถใช้ฐานรากเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
เช่นเดียวกับพันธกิจของเทศบาล ที่ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ควบคู่โครงสร้างพื้นฐาน เอื้ออาทร เจือจาน สืบสานวิถีชุมชนท้องถิ่น ดังนั้น การฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก บนพื้นฐานของการสร้างความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่ง
โดยการพัฒนาเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนอีกมิติหนึ่งคือ การพัฒนาคน
“สงขลา เป็นเมืองแห่งการศึกษาและเรียนรู้ฉะนั้น ต้องทำอย่างจริงจัง ต้องสร้างกระบวนการการศึกษาให้คนเป็นพลเมืองรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม และส่วนรวมได้ รวมถึงการมีสัมมาชีพ มีความเป็นพลเมืองที่ดีช่วยเหลือกันพากันไปเป็นกลุ่ม การศึกษาเพื่อปวงชน Education for all, All for Education สร้างคนให้เป็นพลเมือง นำการศึกษาที่ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก”
หวังม.อ.เพิ่มความเข้มข้นพัฒนาชุมชน
สำหรับ ม.อ. ซึ่งได้ลงชุมชนอยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มความเข้มข้นในการเข้าถึงสัมผัสกับชุมชนอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิด Outreach to Community งานวิจัยที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชน


บุคลากรของมหาวิทยาลัยต้อง Out Reach หรือการออกสู่ชุมชน ต้องไม่สร้างกำแพงล้อมตัวเองต้องนำคลังแห่งปัญญาไปสู่การพัฒนาชุมชน เพิ่มความเข้มข้นของงานวิจัยไปสู่การปฏิบัติ และนำผลงานวิจัยไปสู่การจัดทำแผนงานของโครงการในระดับพื้นที่
งานที่ ม.อ. ต้องให้ความสำคัญ นั่นคือ งานพัฒนาเมืองในทุกมิติ เทรนด์ของโลกให้ความสำคัญการพัฒนาพื้นฐานจะต้องเริ่มที่เมืองหรือชุมชนแล้วจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศ เมืองเปลี่ยนประเทศ ชุมชนเปลี่ยนประเทศเปลี่ยน
“การที่ ม.อ.เป็นคลังแห่งความรู้ เป็นแหล่งวิทยะปัญญา มีชุดความรู้ งานวิจัย ผลงานทางวิชาการมากมาย ต้องนำไปสู่การสร้างประโยชน์ในการพัฒนาเมืองให้ได้” นายกสุริยา กล่าว และว่า
ปัจจุบัน ภายใต้ภาวะความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ม.อ. ต้องให้ความเข้มข้นในเรื่องการสร้างเมืองที่ปรับตัว และมีความยืดหยุ่น นำไปสู่ความยั่งยืนได้ มีความมั่งคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเกษตร อาหาร การเมืองการปกครอง