“ภาณุ” เล่าประสบการณ์ตรง  “มาอัฟ คือหัวใจสันติสุข”

panu

“ผมผู้อยู่ในเหตุการณ์ ตระหนักชัดเจนถึงกลไก กติกา หรือแนวทางอิสลามนี้สำคัญยิ่งใหญ่สูงระดับกว่ากฎหมายที่เราใช้กันอยู่ สมกับคำกล่าวของพี่น้องมุสลิมที่ว่า อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตาและให้อภัยเสมอ”

จากกรณีตากใบที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ “สงขลาโฟกัส” ได้มีโอกาสสอบถามกับ นายภาณุ อุทัยรัตน์ อดีตเลขาธิการ ศอ.บต.ต่อเหตุการณ์กรณีเจ้าหน้าที่ยิงนักศึกษาผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตที่บ้านโต๊ะชูด อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เมื่อ 20 เมษายน 2558

ภาณุ1 1

ที่มาของเหตุการณ์เป็นอย่างไรครับ ?

ภาณุ  :​ เย็นวันที่ 20 เมษายน 2558 ได้เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารปิดล้อมบ้านต้องสงสัยเป็นที่หลบซ่อนคนร้าย แหล่งข่าวแจ้งเข้าใจว่าเป็นคนร้ายวัยรุ่นซ่องสุมกันอยู่ ช่วงปิดล้อมคนร้าย 2 คนสบช่องหนีเหลือวัยรุ่น 4 คนตกใจวิ่งหนีลงมาอีกทาง เจ้าหน้าที่ยิงทั้ง 4 เสียชีวิต

ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษา ม.ฟาฏอนี 3 คน ทั้ง 4 คนไม่มีอาวุธ ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง อธิการ ม.ฟาฎอนี รวมถึงชาวบ้านโจษจันว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุยิงผิดตัวยิงผู้บริสุทธิ์แล้วยังมีการยัดอาวุธใส่มือให้ร้ายเป็นหลักฐาน

ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี โดยบัญชาของท่านนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ) สั่งตั้งคณะกรรมการเป็นตัวแทนฝ่ายต่างๆ เข้าตรวจสอบทันที สุดท้ายผลออกมาว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้เกี่ยวกับการก่อเหตุร้ายแต่อย่างใด

นายกรัฐมนตรีทราบผลและมีบัญชาต่อให้ผมในฐานะเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เข้าแก้ไขปัญหานี้ โดยในเช้าของวันแถลงผลการตรวจสอบของคณะกรรมการ ก็มีสื่อมวลชนผู้สนใจจำนวนมากมาร่วมฟัง เนื่องจากเป็นข่าวใหญ่ระดับชาติ เป็นความเสียหายเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาล

ผมในฐานะผู้ได้รับมอบหมายขอจัดประชุมภายในกับท่านแม่ทัพภาค 4 พลโท ปราการ ชลยุทธ ร่วมกับ ท่านประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี นายแวดือราแม มะมิงจิ ท่านอธิการบดี ม.ฟาฏอนี รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา และพ่อแม่ผู้ปกครองผู้เสียชีวิตทั้ง 4 ราย ในห้องรับรองโรงแรมปาร์ควิว ปัตตานี

เริ่มจากผมนำเสนอผลสอบของคณะกรรมการฯ สรุปว่าเป็นการยิงผู้บริสุทธิ์จริง ซึ่งท่านแม่ทัพภาค 4 ก็รับในผลการตรวจสอบ พร้อมกล่าวขอโทษต่อบรรดาพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต ท่านประธานฯ แวดือราแม ก็หันไปถามญาติผู้เสียชีวิตว่า “เมื่อแม่ทัพฯ “ขอมาอัฟ“ แล้ว เราฝ่ายเสียหายจะให้อภัยยกโทษให้หรือไม่” ผมย้ำทุกถ้อยคำเพราะตรงนี้สำคัญมาก พ่อแม่คนทั้ง 4 ตอบทันทีว่า “ให้อภัย” โดยมิได้คำนึงถึงสิทธิการเยียวยาว่าตนเองจะได้รับอะไรบ้าง

พ่อแม่ผู้ปกครองเหล่านี้กล่าวแสดงการให้อภัยตามแนวเงื่อนไขแห่งอิสลามชัดเจนทันที จนท่านประธานฯ แวดือราแม ถามมาทางผมว่าทาง ศอ.บต.จ่ายเงินเยียวยาอย่างไร ผมก็ตอบไปว่า กรณีนี้ ศอ.บต.นำเข้าเกณฑ์การเยียวยาเป็นกรณีพิเศษ โดยผมได้แจ้งรายละเอียดไป ท่านประธานฯ แวดือราแม จึงสรุปว่า “ต่อการแก้ปัญหาความเสียหายในกรณีนี้ เราใช้แนวทางอิสลาม ถือว่าคู่กรณี ทั้งผู้กระทำได้กล่าว ขอมาอัฟ-ขอโทษ และผู้ถูกกระทำหรือพ่อแม่ผู้เสียชีวิตหรือผู้เสียหายได้กล่าวแสดงการยกโทษ-ให้อภัยแล้ว ในทางอิสลามถือว่าทุกอย่างยุติ เหมือนผ้าขาว“

“ผมผู้อยู่ในเหตุการณ์ ตระหนักชัดเจนถึงกลไก กติกา หรือแนวทางอิสลามนี้สำคัญยิ่งใหญ่สูงระดับกว่ากฎหมายที่เราใช้กันอยู่ สมกับคำกล่าวของพี่น้องมุสลิมที่ว่า อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตาและให้อภัยเสมอ”

จุดสำคัญของเรื่องต่อมาคือ การแถลงข่าวในบรรยากาศที่ทุกคนต้องการรับฟังว่ารัฐบาลมีท่าทีอย่างไร ผู้แถลงข่าวคือ ผม แม่ทัพภาค 4 ท่านประธาน กอจ.ปัตตานี และท่านอธิการฯ ม.ฟาฏอนี

พลโท ปราการ แม่ทัพภาค 4 “กล่าวขอโทษ” ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและนัยน์ตาแดง ประธานฯ แวดือราแม ถามบรรดาพ่อแม่ทั้ง 4 รายต่อหน้าสื่อมวลชนว่า แม่ทัพขอโทษแล้วจะว่าอย่างไร พ่อแม่ทั้ง 4 รายกล่าวแสดงการ “ยกโทษให้อภัย“ นายภาณุ เลขาธิการ ศอ.บต.ได้กล่าวถึงสิทธิการเยียวยาพิเศษสำหรับครอบครัวผู้เสียชีวิต เน้นเยียวยาจิตใจผู้อยู่ และเยียวยาจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตด้วย

ประธานฯ แวดือราแม กล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ เราใช้หลักการแนวทางอิสลามยึดแนวทางศรัทธาต่ออัลลอล์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตาและการให้อภัยเสมอ ที่สำคัญคือมุสลิมฝ่ายผู้สูญเสียรับคำขอโทษและกล่าวแสดงการให้อภัย จะไม่นำกล่าวอ้างหรือมีจิตใจขุ่นมัวติดใจเรื่องนี้อีกต่อไป ถือว่ากรณีดังกล่าวนี้จบสิ้นสุดเหมือน ”ผ้าสีขาว” ทั้งนี้ ก็มีพวกท่านทั้งหลายเป็นพยาน

ท่านอธิการบดีฯ รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี กล่าวต่อสื่อมวลชน ย้ำถึงการแก้ไขปัญหา นำสู่ข้อยุติกรณีนี้ เราทุกฝ่ายใช้ความศรัทธาในแนวทางแห่งอิสลาม ทุกอย่างถือว่าจบสิ้นกัน ดังนั้น ในแนวทางอิสลามจะไม่มีการพูดถึงการนำเสนอข่าวในกรณีนี้อีก

“หากมีการกล่าวถึงก็ถือเป็นให้ร้ายกันโดยเฉพาะมุสลิม ย่อมเป็นการ “ฟิตนะฮ์” และจะเป็นการรบกวนจิตวิญาณของคนตายทั้ง 4 รายด้วย”

ฟังแล้วเข้าใจถึงคำพูดของท่านภาณุที่ย้ำว่า “มาอัฟคือ หัวใจสันติสุข” แต่ถ้ามองถึงประเด็นคดีความที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ถือว่าเป็นความแผ่นดินเป็นการดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งเขามีสิทธิ์ทำได้ใช่ไหม?

ภาณุ : ​ผมคงต้องเอาความเห็นของผู้รู้ทางศาสนามากล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของคดี ก็ว่าตามกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องถูกดำเนินคดีอยู่แล้ว แต่ในทางศาสนาอิสลามเป็นดังที่มุสลิมกลุ่มหนึ่งเขาต้องการสื่อสารสำทับลงไปในแนวทางอิสลามว่า “กลุ่มมุสลิมผู้ที่ได้แสดงการให้อภัยแล้วไม่ควรที่เป็นผู้ฟ้องคดี และทนายความที่เป็นมุสลิม ซึ่งเป็นผู้บ่าวของอัลลอฮ์เช่นกันมิควรที่จะละทิ้งแนวทางที่อิสลามกำหนดนี้”

ผมย้ำว่า นี่คือการตั้งข้อสังเกตของพี่น้องมุสลิมด้วยกัน เราคนต่างศาสนิกได้แต่ติดตามเฝ้ามองด้วยความเชื่อมั่นในความเป็นมุสลิมที่ดีของพี่น้องเรา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *