นักวิจัยโรคพืช ศูนย์ผลิตและบริการชีวินทรีย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ แนะนำ 5 วิธีฟื้นฟูต้นพืชให้แก่เกษตรกร หลังเกิดน้ำท่วมอย่างหนักในพื้นที่ภาคใต้
จากสถานการณ์น้ำท่วมแปลงปลูกพืชของเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด และในบางพื้นที่ท่วมเป็นเวลาหลายวัน สร้างความเสียหายแก่ต้นพืชหลายด้าน ทั้งทำให้รากพืชขาดอากาศทำให้การดูดซับธาตุอาหารน้อยลงส่งผลให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต หน้าดินเกิดการชะล้างอาจให้รากพืชขาดหรือเกิดแผล ทำให้เชื้อโรคพืชเข้าสู่รากพืชได้มากขึ้น
เช่นเดียวกับ จุลินทรีย์ต่างๆ รวมทั้งกลุ่มโรคจะเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณได้มากขึ้น
ซึ่งผลเหล่านี้สร้างความเสียหายแก่ต้นพืช ทั้งชะงักการเจริญเติบโตและมีโอกาสเกิดโรคพืชมากขึ้น โดยเฉพาะพืชที่ไม่ทนต่อสภาวะน้ำท่วมขัง เช่น ทุเรียน ถ้าแช่ขังในน้ำนิ่งประมาณ 3 วัน จะเริ่มแสดงอาการใบสลดอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนพืชตระกูลส้ม (ส้มโอทับทิมสยาม) มังคุด ปาล์มน้ำมัน และยางพารา จะแสดงอาการช้ากว่า เป็นต้น
รองศาสตราจารย์ ดร.วาริน อินทนา นักวิจัยทางด้านโรคพืชในฐานะหัวหน้าศูนย์ผลิตและบริการชีวินทรีย์เกษตรมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) กล่าวว่า หากน้ำท่วมขังเป็นเวลานานจะยิ่งส่งผลเสียต่อพืช จึงแนะนำให้เกษตรกรเร่งปฏิบัติ ดังนี้ 1. เร่งการระบายน้ำออกจากพื้นที่แปลงปลูกพืช เพื่อให้รากพืชได้รับอากาศเร็วที่สุด
2. หากไม่จำเป็นอย่านำเครื่องจักรกลหนักเข้าพื้นที่ เพราะจะทำให้โครงสร้างดินแน่นขึ้นและรากพืชขาดเสียหายมากยิ่งขึ้น 3. อย่าเร่งใส่ปุ๋ยที่มีความเค็มสูง เพราะจะทำให้รากพืชเน่าเปื่อย โดยเฉพาะรากพืชที่เกิดแผลจากสภาวะน้ำท่วได้
4.|พ่นชีวภัณฑ์จุลินทรีย์ปฏิปักษ์ (จุลินทรีย์ดี) เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา เมตาไรเซียม บิวเวอร์เรีย หรือแบคทีเรียบาซิลลัส เพื่อช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์โรคพืชและแมลงศัตรูพืช เพื่อลดความเสียหายในสภาวะต้นพืชอ่อน และ 5. หากต้นพืชโทรมเพราะรากดูดซับธาตุอาหารได้น้อยลง ให้พ่นฮอร์โมนทางใบแก่ต้นพืชได้ ซึ่งอาจผสมร่วมกับเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ได้
“หากเกษตรกรท่านใดมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ผลิตและบริการชีวินทรีย์เกษตร ม.วลัยลักษณ์ ทั้งทางเพจ: ศูนย์ชีวินทรีย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์/ไตรโคเดอร์มา ม.วลัยลักษณ์ ทางไลน์: tcruwu หรือโทร092-3293569/075-677200” รองศาสตราจารย์ ดร.วาริน กล่าว