สายสัมพันธ์ที่มีกับชายแดนใต้ของไทยกว่า 40 ปี “นายกอันวาร์” หนุนภาคประชาสังคมสองประเทศ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวบนหลักการพัฒนา “Win-Win” ที่ส่งผลต่อกระบวนการสันติภาพ
นายมันโซร์ สาและ ประธานเครือข่ายประชาสังคมชายแดนใต้-มาเลเซีย อดีตแกนนำสมาคมยุวมุสลิมไทย ซึ่งมีความคุ้นเคยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม กล่าวถึง กรณีการประชุมผู้นำไทย-มาเลเซีย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนสองประเทศว่านายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮีม มีความผูกพันกับพื้นที่ชายแดนภาคใต้มาตั้งแต่สมัยจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกฯ ขณะนั้นท่านเข้ามาร่วมเรียกร้องให้กับคนในพื้นที่ และขณะท่านเป็นผู้นำขบวนการนักศึกษาของมาเลเซียก็ได้พิมพ์หนังสือต่างๆ เกี่ยวกับพื้นที่ชายแดนภาคใต้หลายเล่ม

“เล่มหนึ่งชื่อ suara siswa (เสียงของนักเรียน) ตีพิมพ์ ปี 1975 ในช่วงมีการประท้วงที่ปัตตานี ซึ่งท่านมีความผูกพันกับพื้นที่มาโดยตลอดในเรื่องความเป็นธรรม และขณะนี้ท่านก็เป็นผู้นำในระดับอาเซียน เป็นความผูกพันของเรา ซึ่งผมทำงานอยู่ในกลุ่มยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย ปี 1983 ซึ่งได้เชื่อมต่อกับทางมาเลเซีย จนหลังจากนั้นท่านก็เข้าสู่การเมือง” นายมันโซร์ กล่าว และว่า
อันดับแรก ท่านมีความคิดตลอดในการช่วยแก้ปัญหาชายแดนใต้ สองก็คือ เมื่อท่านเป็นผู้นำรัฐบาลมาเลเซีย เราเองก็ได้ภารกิจหนึ่งคือ การพัฒนาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เราจึงสร้างกลไกขึ้นมา คือสร้างเครือข่ายประชาสังคมชายแดนใต้ ร่วมทำงานกับประชาสังคมมาเลเซีย ซึ่งตนเป็นประธานฝ่ายไทย ก่อตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในความร่วมมือที่มากขึ้น โดยการยึดเอาจิตวิญญาณของความเป็นประชาชนเป็นหลัก
ที่ผ่านมา เราเห็นความร่วมมือเรื่อง IMT-GT (โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย) จะเป็นความร่วมมือของภาครัฐมากกว่า แต่ไม่ทั่วถึงมายังประชาชนเท่าไร ดังนั้นการตั้งเครือข่ายประชาสังคมชายแดนใต้ร่วมกับทางมาเลเซียก็จะเป็นในระดับองค์กรภาคประชาชน
“ในความสัมพันธ์ตรงนี้กับท่านนายก อันวาร์ อิบราฮีม เรามีกันมาก่อนเป็นเวลาสามสิบสี่สิบปี เมื่อท่านเป็นผู้นำรัฐบาลมาเลเซีย เราก็ทำงานประสานผ่านองค์กรของเรา โดยแนวคิดที่มาจากท่านคือ “การพัฒนาที่ วิน-วิน” ทั้งสองฝ่าย ผ่านการทำงานภาคประชาสังคม ซึ่งเรารับภารกิจมา 15-16 ภารกิจ”
โดยขณะนี้งานที่เป็นกิจลักษณะคือ การสร้างความร่วมมือและการพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวฮาลาล และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การดึงนักท่องเที่ยวเชื้อสายมาเลเซียมายังจังหวัดชายแดนก็เป็นเป้าหมายหลักของความร่วมมืออันหนึ่ง
“ขณะนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เริ่มเข้ามาที่ปัตตานีและนราธิวาสมากขึ้น แต่ทางจ.ยะลายังไม่คึกคัก เนื่องจากปัญหาด่านศุลกากรที่บ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา ยังไม่ได้รับความสนใจเดินทางของนักท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีการโปรโมท เรามีความหวังว่านักท่องเที่ยวผ่านมาทางอลอร์สตาร์ เข้ามาทางด่านประกอบ นาทวี มายะลา ซึ่งในเรื่องนี้เรามีโครงการที่ขอไปทางกองทุนสื่อฯ เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวทางนี้
“เราเองเป็น Soft Power หนึ่งที่พยายามทำเรื่องเหล่านี้ บางทีหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่อาจไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เสียงอาจไม่ดังมากเหมือนองค์กรภาครัฐหรือนักการเมือง เป็นเสียงของภาคประชาสังคม ภาคประชาชน”
อีกเรื่องคือ การพัฒนาความร่วมมือด้านการปศุสัตว์และการเกษตร ซึ่งเมื่อทำไปเราก็พบว่า กฎระเบียบบางอย่างของภาครัฐบางครั้งก็กลายเป็นอุปสรรค เช่นในการส่งปศุสัตว์ข้ามแดนไปยังมาเลเซียยังไม่ได้รับความสะดวก ติดเรื่องการกักกันโรคที่ขาดการจัดการที่ทันสมัยและค่าใช้จ่ายสูง นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลักลอบสูงกว่า และทำให้มีความเสี่ยงเรื่องการติดโรค เราเองพยายามสร้างเครือข่ายการเลี้ยงโคขนาดเล็ก
“ผมเองเพิ่งกลับจากไปประชุมกับสมาคมผู้เลี้ยงโคที่รัฐปะลิส เพื่อช่วยกันพัฒนาผู้ประกบอการรายย่อย และเราก็พูดคุยกันเรื่องการผลิตอาหารของโค ซึ่งจะเป็นความร่วมมือในอันดับต่อไป”

ส่วนภาครัฐในการทำเรื่องเหล่านี้ยังมีอุปสรรค เนื่องจากการส่งเสริมจากภาครัฐยังไม่สามารถสร้างความคิดหรือ Mind Set ที่ถูกต้องให้กับกลุ่มชาวบ้านที่รัฐร่วมทำ รวมทั้งการจัดทำโครงการของภาครัฐมักเป็นไปแบบไร้ความยั่งยืน เช่น เมื่อแจกสัตว์เลี้ยงให้ชาวบ้านเสร็จก็จบโครงการ ขาดการส่งเสริมอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง ไม่มีการใช้ความรู้หรือให้คำปรึกษาในการจัดการทั้งระบบ
ดังนั้น ในเรื่องปศุสัตว์และการส่งออกไปยังมาเลเซีย การส่งเสริมในพื้นที่จากภาครัฐจึงยังไม่สำเร็จ ทั้งๆ ที่มาเลเซียมีความต้องการในการเติมเต็มตลาดเนื้อวัวอีกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงมาก ในขณะที่การนำเข้าก็ติดปัญหา
ขณะที่เครือข่ายประชาสังคมเราได้รับการผลักดันจากกัวลาร์ลัมเปอร์ จากนายกฯ อันวาร์ ด้วยซ้ำไป สนับสนุนให้ทำเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่จากกรุงเทพฯ เนื่องจากมีความเป็นเพื่อนกันมาเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี ดังนั้นเราก็ใช้โอกาสนี้ในการขยับการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคประชาชน แต่ยังติดปัญหาอย่างที่กล่าว ซึ่งเราก็จะใช้วิธีส่งสารไปยังมาเลเซียให้ช่วยดำเนินงานและพูดคุยกับทางภาครัฐไทยให้แก้ปัญหา เพราะแม้แต่ภาคการเมือง ผู้แทนราษฎรในพื้นที่เองก็ไม่ค่อยมีบทบาทแก้ปัญหานี้
นายมันโซร์ เผยว่า กลางเดือนมกราคมปีหน้า กลุ่มนักการเมืองจากมาเลเซียจะเข้ามาร่วมประชุมกับเราที่จ.ยะละ เพื่อหาแนวทางความร่วมมือกันต่อไป
สำหรับกระบวนการสันติภาพนั้น นายมันโซร์ กล่าวว่า การมีเพื่อนบ้านที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่ให้ความสำคัญกับคำแนะนำจากต่างประเทศที่ห่างใกลโดยมองข้ามเพื่อนบ้าน ซึ่งคนในพื้นที่ ต่างก็เป็นพี่น้องเครือญาติกันกับทางมาเลเซียที่มีความลึกซึ้งมาก ดังนั้น จึงต้องเป็นลักษณะ วิน-วิน เช่นเดียวกัน
“รัฐต้องให้ความไว้วางใจ มีหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาร่วมให้เกิดความสมดุล ซึ่งในการขยับเรื่องกระบวนการสันติภาพ ภาคประชาสังคมทำมาตั้งแต่ปี 2552 ก่อนที่ภาคการเมืองและอื่นๆ จะเข้ามา” นายมันโซร์ กล่าว