

กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ก้าวสู่ปีที่ 12 นำโดย “อธิบดีสุพิศ พิทักษ์ธรรม” แผนการทำงานเชิงรุก 7 มิติ “ฝนหลวงแบบเต็มอิ่ม” ยกระดับธรรมาภิบาล เน้นความโปร่งใสตรวจสอบได้
จากพระราชบันทึก THE RAINMAKING STORYพระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ก่อให้เกิดความกระจ่างชัดถึงที่มาและจุดเริ่มต้นโครงการฝนหลวง ซึ่งสรุปพระราชบันทึกดังกล่าวได้ว่า ระหว่างวันที่ 2 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498ทรงเยี่ยมเยียน 15 จังหวัด ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์ (เดลาเฮย์ ซีดาน สีเขียว) จากจังหวัดนครพนม ไปจังหวัดกาฬสินธุ์ ผ่านจังหวัดสกลนครและเทือกเขาภูพาน เมื่อทรงหยุดอย่างเป็นทางการที่ทางแยกอำเภอกุฉินารายณ์และสหัสขันธ์
ณ ที่นั้น ทรงสอบถามราษฎรเกี่ยวกับผลผลิตข้าว ทรงคิดว่าต้องเสียหายเพราะความแห้งแล้ง แต่ต้องทรงประหลาดใจที่ราษฎรเหล่านั้นกราบบังคมทูลว่า เดือดร้อนเสียหายจากน้ำท่วม ทรงเห็นว่าเป็นการแปลก เพราะพื้นที่โดยรอบดูคล้ายทะเลทรายที่มีฝุ่นฟุ้งกระจายทั่วไป แท้ที่จริงแล้วราษฎรเหล่านั้นมีทั้งน้ำท่วมและฝนแล้ง นั่นคือ ทำไมประชาชนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงยากจนนัก
ณ ขณะนั้น ทรงคิดว่าเป็นปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะแก้ไขไม่ได้ และขัดแย้งกันเองในตัว เมื่อมีน้ำมากไปก็ท่วมพื้นที่ เมื่อน้ำหยุดท่วมฝนก็แล้ง เมื่อฝนตกน้ำจะไหลบ่าลงมาท่วมจากภูเขาเพราะไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งการไหลบ่า ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระสติปัญญาอันเป็นเลิศ ทำให้ทรงเกิดประกายความคิดอย่างฉับพลัน ณ วินาทีนั้นในขณะนั้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากและขัดแย้งกันดังกล่าว
วิธีแก้คือ ต้องสร้างฝายน้ำล้น (check dams) ขนาดเล็กจำนวนมาก ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาจะช่วยชะลอการไหลลงมาอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กๆ จำนวนมาก วิธีนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาแห้งแล้งได้ทางหนึ่ง ในฤดูฝนน้ำที่ถูกเก็บกักไว้ในฝาย เขื่อนและอ่างเก็บน้ำดังกล่าวใช้จัดสรรน้ำสำหรับฤดูแล้ง
ปัญหาหนึ่งที่ยังคงดำรงอยู่คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งภาคมีชื่อเสียงว่าเป็นภาคที่แห้งแล้งขณะนั้นทรงแหงนขึ้นดูท้องฟ้าและพบว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นถูกพัดผ่านพื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เมฆเหล่านั้นรวมตัวตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น และทรงบันทึกไว้ว่า ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการฝนเทียม(ปัจจุบันเรียกอย่างเป็นทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรีว่า โครงการฝนหลวงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2517) นับเป็นพระอัจฉริยภาพที่ทรงเกิดประกายความคิดที่จะแก้ไขปัญหาอันยุ่งยาก และขัดแย้งได้อย่างฉับพลัน ณ ขณะนั้นด้วยพระปัญญาอันชาญฉลาดและเป็นเลิศที่ทรงสามารถคิดค้นวิธีแก้ปัญหาทั้งน้ำท่วมและฝนแล้งได้ในขณะเดียวกัน ที่เป็นวิธีการและหลักการในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งจากฟ้าและบนดินได้อย่างครบถ้วน ยังคงทันสมัยที่นำมาเป็นหลักการหรือต้นแบบในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบนผิวพื้นโลกได้ทุกยุคสมัยทั้งในปัจจุบันและอนาคตทันทีที่เสด็จกลับจากการเสด็จเยือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้ง 15 จังหวัด เมื่อวันที่ 2 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 มาถึงกรุงเทพมหานครทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกรประดิษฐ์ควายเหล็ก ที่มีชื่อเสียงเข้าเฝ้าฯและพระราชทานแนวความคิดนั้นแก่ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งได้กราบบังคมทูลสัญญาว่า จะศึกษาปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว
ระหว่างรอการเตรียมการเพื่อให้เกิดลู่ทางและความเป็นไปได้ให้มีความพร้อมและสามารถเริ่มต้นลงมือทำการค้นคว้าทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น และปฏิบัติการทดลองจริงในท้องฟ้า มิได้ทรงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ทรงทบทวนและวิเคราะห์วิจัยเอกสารตำราด้านวิชาการ เช่น อุตุนิยมวิทยา วิทยาศาสตร์บรรยากาศ เอกสารรายงานการวิจัย การค้นคว้าทดลอง และกรณีศึกษาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งในสมัยนั้นเอกสารเหล่านั้นยังมีน้อยและหาได้ยาก ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ได้มาจากประเทศในแถบถิ่นที่มีภูมิอากาศอยู่ในเขตหนาว
รวมทั้ง ทรงวิเคราะห์ข้อมูลและข้อสังเกต ที่ทรงบันทึกไว้ในระหว่างการเสด็จเยือนแต่ละท้องถิ่นของแต่ละภาคของประเทศ เช่น สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม ฤดูกาล ซึ่งทรงเห็นว่ามีอิทธิพลต่อการเกิดสภาวะแห้งแล้งและต่อความพยายามในการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนได้อย่างสัมฤทธิ์ผล รวมทั้งสภาพปัญหาความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรอันเนื่องจากภัยแล้ง จนทรงสามารถตั้งเป็นข้อสมมติฐานที่ทรงคาดหมายหวังผลไว้อย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน พร้อมที่จะเริ่มต้นให้มีการค้นคว้าทดลอง และทรงมั่นพระทัยว่าจะสัมฤทธิ์ผลในการค้นคว้าทดลองและการประดิษฐ์คิดค้นตามที่ทรงคาดหวังไว้ในข้อสมมติฐาน
พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ฯพณฯ องคมนตรี มล. เดช สนิทวงศ์ อัญเชิญเอกสารที่ทรงศึกษาทบทวนแล้วดังกล่าวข้างต้น มาพระราชทานแด่ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ได้ศึกษาทบทวนและทำความเข้าใจกับเอกสารพระราชทานเหล่านั้นควบคู่กันไปด้วย ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ถึงกับไปสมัครฝึกบินกับศูนย์ฝึกบินพลเรือนจนจบหลักสูตรเป็นนักบิน
หลายปีต่อมา ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ได้กลับมากราบบังคมทูลพร้อมกับความคิดเริ่มแรกและความเป็นไปได้ที่จะเริ่มต้นการค้นคว้าทดลอง การประดิษฐ์คิดค้น และการปฏิบัติการค้นคว้าทดลองจริงในท้องฟ้า โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมี ดร.แสวง กุลทองคำ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ม.จ.จักรพันธุ์ เพ็ญศิริจักรพันธ์ อธิบดีกรมการข้าว ในขณะนั้นรับใส่เกล้าฯ สนองพระราชประสงค์การปฏิบัติการทดลองจริงในท้องฟ้า จึงเริ่มต้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 19– 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ณ สนามบินหนองตะกู วนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
จากนั้นมา จึงทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นองค์กรปฏิบัติการสนองพระราชประสงค์ในการค้นคว้าทดลองทำฝนหลวง ควบคู่กับปฏิบัติการ หวังผลกู้ภัยแล้ง มาโดยตลอด
สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ก้าวแรกที่เริ่มต้น (ฝล.) Insignia of the “For-Lor-Office”
ปี 2518 รัฐบาลตระหนักว่าปฏิบัติการฝนหลวงทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานฝนหลวงเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ดังนั้น เพื่อให้ปฏิบัติการฝนหลวงสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้กว้างขวางและเป็นผลดียิ่งขึ้น จึงมีการตราพระราชกฤษฎีกาตั้ง “สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง” ขึ้น ในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2518
ในเวลานั้น สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงมีภารกิจหลักคือ ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อป้องกันและบรรเทาสภาวะแห้งแล้ง โดยการช่วยให้เกิดฝนตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการบริโภคอุปโภคและการเกษตร เพิ่มปริมาณน้ำให้แก่ต้นน้ำลำธาร หนองบึงธรรมชาติ อ่างและเขื่อนกักเก็บน้ำ เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า การชลประทาน น้ำประปา อุตสาหกรรม และน้ำใต้ดิน รวมทั้งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวง
สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ช่วงเริ่มต้น มีหน่วยปฏิบัติการ 2 หน่วย และไม่มีอาคารที่ทำการอาศัยเพียงห้องเล็กๆ ในกองเกษตรวิศวกรรม 3 ห้อง เป็นที่ทำงาน ใช้เจ้าหน้าที่จากกองเกษตรวิศวกรรม สร้างและพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ทั้งเครื่องอบเกลือ เครื่องเผาเกลือ เครื่องบดเกลือ ฯลฯ
ในปี 2520 สำนักปฏิบัติการฝนหลวง มีหน่วยปฏิบัติการ 4 ทีม แต่ละทีมมีเครื่องบินเล็กๆ 3-4 ลำมีนักบินและช่างเครื่อง ลำละ 3 คน แต่มีนักวิทยาศาสตร์ 6 คน ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติการในทุกฝูงบิน จะมีนักวิทยาศาสตร์ไปด้วยหนึ่งคน
สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร

จากการที่ปฏิบัติการทำฝนหลวง จำเป็นต้องใช้เครื่องบินในการปฏิบัติงานด้วย อีกทั้ง ภารกิจที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีการรวมสองหน่วยงานที่มีความเกื้อกูลกันเป็นหน่วยงานเดียวกัน และยกฐานะเป็นสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 15 กันยายนพ.ศ. 2535 โดย “กองการบินเกษตร” ซึ่งรับผิดชอบด้านอากาศยาน เป็น “ส่วนการบิน” และ “สำนักงาน
ปฏิบัติการฝนหลวง” ซึ่งรับผิดชอบด้านการปฏิบัติการฝนหลวง เป็น “ส่วนฝนหลวง”
ภารกิจของสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร กว้างขวางขึ้น ครอบคลุมทั้งปฏิบัติการฝนหลวงให้แก่เกษตรกรและประชาชน เติมน้ำให้แหล่งกักเก็บน้ำต่าง ๆ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศและสาขาที่เกี่ยวข้อง บินบริการสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งบินสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการเกษตรและการปฏิบัติงานของส่วนราชการอื่น จึงมีการกำหนดพื้นที่รับผิดชอบเป็นลุ่มน้ำ และมีการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำลุ่มน้ำ” 8 ศูนย์ ครอบคลุมพื้นที่ ทั้ง 25 ลุ่มน้ำหลัก
วิวัฒนาการในลำดับต่อมา ในการทำงานของสำนักฝนหลวงและการบินเกษตรคือ การแบ่งโซนดูแลรับผิดชอบ แต่ยังต้องกลับส่วนกลางอยู่เมื่อหมดภารกิจ สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ในปี 2535 นอกจากจะมีนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เข้ามาเสริม มีการทำงานที่เป็นระบบมากขึ้น และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว อัตรากำลังข้าราชการและเจ้าหน้าที่ก็เพิ่มมากขึ้น จาก 60 คน ในช่วงเริ่มต้นก่อตั้ง เป็นเกือบ 500 คน
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
เวลาที่ล่วงเลยมาถึง 20 ปี กับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ยิ่งความต้องการน้ำเพิ่มมากขึ้นเท่าไร ภาวะความแห้งแล้งและการขาดแคลนน้ำกลับยิ่งรุนแรงมากกว่า ปฏิบัติการฝนหลวงจึงต้องขยายขอบเขตภารกิจ บทบาท และมีส่วนร่วม ทั้งด้านการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของประเทศ สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นกรม
“กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” ได้รับการก่อตั้ง เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2556 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2556 โดยมีลำดับความเป็นมา ดังนี้ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2518 มีพระราชกฤษฎีกาก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง (Royal Rainmaking Research and
Development Institute, RRRDI) เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับโครงการพระราชดำริฝนหลวงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยมี ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้รับสนองพระราชดำริ ในการคิดค้น ทดลอง กรรมวิธีการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดเป็นฝน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา
ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2536 ได้มีการรวมสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงและกองบินเกษตร เป็นหน่วยงานเดียวกันก่อตั้งเป็น “สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร” (Bureau of the Royal Rainmaking and Agricultural Aviation, BRRAA) เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงให้แก่เกษตรกรและประชาชน รวมทั้งเติมน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำต่างๆ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศ และบินบริการสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง บินสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการเกษตรของส่วนราชการอื่น
ปี 2553 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม2554 เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้ง กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการ
วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556 มีพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. 2556 (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” เพื่อให้การบริหารจัดการการปฏิบัติการฝนหลวง เป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัวในการบูรณาการภารกิจร่วมกับส่วนราชการอื่น
โดยแบ่งส่วนราชการ เป็นไปตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2556 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. 2556 และ กฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2556 ได้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 130 ตอนที่ 40 ก วันที่ 9 พฤษภาคม 2556
ปัจจุบัน “กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” ก้าวสู่ปีที่ 12 นำโดย นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ภายใต้แผนการทำงาน 7 มิติ “การทำฝนหลวงแบบเต็มอิ่ม” นั่นคือการทำทุกขั้นตอนเชิงรุก ทำอย่างจริงจัง
มิติที่ 1 การปฏิบัติการฝนหลวง “เต็มอิ่ม” มิติที่ 2 การนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มิติที่ 3 การใช้ทรัพยากรให้มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ มิติที่ 4 เน้นการพัฒนางานวิจัยต่อยอดสู่การใช้งานจริง มิติที่ 6 ปรับวัฒนธรรมองค์กร ยกระดับการทำงานเป็นทีม และ มิติที่ 7 ยกระดับ ธรรมาภิบาลเน้นความโปร่งใสตรวจสอบได้โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมฝนหลวงฯได้รับผลประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ 2567 มีผลคะแนนภาพรวม ร้อยละ 88.64 คะแนน เป็นองค์มีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานในระดับ“ผ่านดี” ภายในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน่วยงานผ่านเกณฑ์ประเมิน 85 คะแนนขึ้นไป จำนวน 18 หน่วยงาน จากทั้งหมด 22 หน่วยงาน