เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการระงับธุรกรรมทางการเงินของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยจัดขึ้น ณ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และผ่านระบบประชุมทางไกล
ในการนี้ มีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญเข้าร่วม อาทิ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.), ตำรวจภูธรภาค 1-9, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.), ศูนย์ PCT, สำนักงานกฎหมายและคดี, ผู้บังคับการตำรวจในพื้นที่ต่าง ๆ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผบ.ตร.ได้กำหนดกรอบแนวทางดำเนินการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยนำรูปแบบ “ดิไอคอน โมเดล” มาใช้เป็นแนวปฏิบัติกลางทั่วประเทศ พร้อมกำชับให้ทุกสถานีตำรวจต้องรับแจ้งความผู้เสียหายทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น
ในการยืนยันตัวตนของผู้เสียหาย ต้องตรวจสอบข้อมูลสำคัญ 5 รายการ ได้แก่
- ชื่อ-นามสกุล
- หมายเลขบัตรประชาชน
- หมายเลขโทรศัพท์
- หมายเลขบัญชีธนาคาร
- ชื่อธนาคาร
เพื่อป้องกันการสวมรอยจากมิจฉาชีพ หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้เจ้าหน้าที่ของสถานีตำรวจรวบรวมข้อมูลและส่งต่อไปยังศูนย์ PCT ซึ่งจะประสานกับศูนย์ AOC เพื่อดำเนินการตรวจสอบและปลดล็อกบัญชีโดยเร็วที่สุด
หากพบว่าบัญชีมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดจริง จะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือได้ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่
- สายด่วน AOC หมายเลข 1441
- สถานีตำรวจทั่วประเทศ
- สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ซึ่งเปิดเพื่อสนับสนุนการดำเนินการของศูนย์ AOC
นอกจากนี้ ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติและผู้อำนวยการศูนย์ PCT ประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างกลไกการทำงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหา
พร้อมกันนี้ ยังสั่งการให้ผู้บัญชาการในแต่ละพื้นที่กำกับดูแลและจัดประชุมชี้แจงแนวปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่ในสังกัด เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในทุกขั้นตอน และสามารถสื่อสารกับประชาชนได้อย่างถูกต้องชัดเจน
ย้ำชัด! ห้ามไม่ให้มีการปฏิเสธการรับแจ้งความ และห้ามเรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ จากผู้เสียหายโดยเด็ดขาด หากพบการกระทำผิดหรือบกพร่อง ให้หน่วยต้นสังกัดดำเนินการสอบสวนและลงโทษตามระเบียบโดยไม่ละเว้น