ม.หาดใหญ่สำรวจจุดยืนคนใต้ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์

เฟรมข่าวไอเน็ท เว็บ เปลี่ยน 42

หนังสือพิมพ์ภูมิภาค รายสัปดาห์ ของคนใต้ ปีที่ 26 ฉบับที่ 1,330 วันที่ 8 – 21 เมษายน 2567

image 19


คนใต้เห็นด้วย-เห็นต่าง “สถานบันเทิงครบวงจร” ฝ่ายที่เห็นด้วยมองที่รายได้ ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยห่วงปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด การค้าประเวณี การรับส่วย และการฟอกเงินจะเพิ่มขึ้น

ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนในภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในภาคใต้เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้

image 22


ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจ เดือนมีนาคม 2567 เปรียบเทียบเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จำนวน 420 ตัวอย่างพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมเดือนมีนาคม (45.70) ปรับตัวลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ (46.80) และเดือนมกราคม (46.60) โดยดัชนีที่มีการปรับตัวลดลง ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครอบครัว รายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ความสุขในการดำเนินชีวิต ฐานะการเงิน (รายได้หักรายจ่าย) การออมเงิน การรักษามาตรฐานค่าครองชีพ การลดลงของหนี้สิน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การแก้ปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
โดยปัจจัยลบที่สำคัญคือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้า จึงทำให้ภาครัฐไม่มีเงินในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งผลให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมีจำนวนน้อย ซึ่งกระทบต่อรายได้และการใช้จ่ายของประชาชน


อีกทั้ง ในเดือนมีนาคมเกิดภัยแล้งในหลายจังหวัดทำให้ผลผลิตในภาคเกษตรลดลง ส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร
ส่วนความเชื่อมั่น ด้านสังคมที่ลดลง สาเหตุมาจากความกังวลจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งวันที่ 22 มีนาคม 2567 คนร้ายได้ก่อเหตุลอบวางระเบิดและเผาทรัพย์สินราชการและร้านค้าของเอกชนกว่า 40 จุด
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายที่ลดลงของประชาชนคือ ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากหลายปัจจัย โดยสรุปสาเหตุสำคัญ ดังนี้

  1. เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทำให้ประชาชนที่มีรายได้ ต่ำถึงปานกลาง มีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย
  2. การส่งออกของภาคเอกชนขยายตัวที่ดีขึ้น แต่รายได้จากการส่งออกกว่า 90% เป็นของธุรกิจขนาดใหญ่
  3. การท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ดีขึ้นเฉพาะในเขตเมืองและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวในเมืองรอง และการท่องเที่ยวชุมชนยังมีการขยายตัวค่อนข้างน้อย
  4. ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก อาทิ ร้านค้าหาบเร่ แผงลอย ฯลฯ ได้รับประโยชน์ค่อนข้างน้อย ซึ่งประชาชนกลุ่มนี้ในประเทศมีมากกว่า 70% ที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ขาดสภาพคล่องในการใช้จ่าย และเกิดเป็นหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้
  5. การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระของประชาชนสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ทำให้มีเงินไม่เพียงพอในการชำระหนี้ และเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการพฤติกรรมการก่อหนี้ที่ไม่มีการวางแผน และขาดวินัยทางการเงิน
    จากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับความกังวล ความคาดหวัง และความต้องการของประชาชน มีดังนี้

  1. ปัญหาหนี้สินครัวเรือน สาเหตุเกิดจากค่า
    ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูงขึ้นมาก แต่ผู้ที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศยังมีรายได้เท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอในการชำระหนี้
    “ภาครัฐควรขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ”
  2. ผู้ประกอบการมองว่า ช่วงนี้การค้าขายไม่ค่อยดี เนื่องจากประชาชนขาดสภาพคล่องทางการเงิน ส่งผลให้ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด จึงคาดหวังว่า
  3. นโยบายแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ประชาชนใช้จ่ายเงินมากขึ้น เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
  4. ประชาชนส่วนหนึ่งสนับสนุนแนวทางการเจรจาและเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในประเทศของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในประเทศเป็นอย่างมากทั้งยังคาดหวังว่า การเจรจาต่อรองใด ๆ ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญประชาชนที่เห็นด้วยกับแนวทางการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจรมองว่า ประเทศไทยจะมีรายได้มากขึ้น อันจะนำมาสู่กาพัฒนาประเทศใน

อนาคต อีกทั้ง ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในจังหวัดนั้น ๆ และจังหวัดใกล้เคียง ขณะที่ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยมองว่า การมีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศ จะก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด การค้าประเวณี การรับส่วย และการฟอกเงินมากขึ้น “ภาครัฐควรศึกษาผลกระทบทางบวกและทางลบ รวมถึงแนวทางป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจดำเนินการ” สำหรับผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 38.60 และ 34.10 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว คิดเป็น ร้อยละ 35.40 และ 37.10 ขณะที่ความเชื่อมั่นด้านความสุขในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คิดเป็นร้อยละ 30.10, 35.60 และ 36.50 ตามลำดับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *