หนังสือพิมพ์ภูมิภาค รายสัปดาห์ ของคนไต้ ปีที่ 26 ฉบับที่ 1,331 วันที่ 22 – 28 เมษายน 2567
“ต้องยอมรับว่า กลไกการเมือง พรรคการเมืองมีลักษณะที่ทำตามนายทุนของพรรค ไม่ค่อยคำนึงถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลวิชาการ หรือความยั่งยืน แต่ทำตามการผลักดันของกลุ่มประมงพาณิชย์ นี่ยังเป็นกระแสที่เกิดขึ้น” นายบรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวถึง สถานการณ์ประมงที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และว่า สถานการณ์ขณะนี้รัฐบาลและฝ่ายค้านได้เสนอร่างรวม 7 ฉบับ เพื่อจะแก้ไขพ.ร.บ.ประมง 2558 ที่ออกโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว “สรุปว่ารัฐสภาเห็นด้วยในการแก้พ.ร.บ. ประมง พ.ศ. 2558 ที่ออกโดยรสช. ขั้นตอนขณะนี้อยู่ในขั้นกรรมาธิการฯ ซึ่งมีทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้าน ซึ่งได้โควตาเข้าร่วมสองคน ประชุมกันทุกวันพฤหัสฯ”

ถ้าร่างที่รัฐบาลเสนอเข้าไปและไม่มีการแก้ไขเลย ทะเลต้องเข้าสู่ความวิบัติอย่างแน่นอน เพราะเขาตั้งเป้าเอาไว้เพื่อไปปลดเงื่อนไขของพ.ร.บ. 2558 ที่มีข้อดีอยู่หลายข้อ เช่น การกำหนดประมงพาณิชย์ออกจากน่านน้ำประมงพื้นบ้าน การติดระบบติดตามเรือประมง การกำหนดพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อน ที่แม้จะยังไม่ออกประกาศกระทรวงฯ ฯลฯ แต่ในร่างใหม่ที่รัฐบาลเสนอจะทำให้ทะเลวิบัติ เนื่องจากเครื่องมือทำลายล้างสามารถทำได้ โดยเฉพาะอวนลาก ที่จากงานวิจัยของกรมประมงเองก็บอกว่า ทรัพยากรที่ได้จากอวนลากสามารถนำมาเป็นอาหารได้เพียง 33 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือเข้าสู่โรงงานอาหารสัตว์ ซึ่งโรงงานประเภทนี้ 60 กว่าเปอร์เซ็นต์คือ พันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนที่ต้องถูกทำลาย
ที่สำคัญคือ การที่รัฐบาลให้ยกเลิกการติดตั้ง VMS ก็ทำให้ประมงพาณิชย์สามารถจับสัตว์น้ำได้ ทุกที่แม้แต่เขตชายฝั่ง แบบนี้ทะเลย่อมวิบัติแน่นอน เราเองตั้งความหวังว่ากรรมาธิการจะได้ใช้ข้อมูลที่แท้จริงทางวิทยาศาสตร์ ว่าทะเลเข้าสู่วิกฤติจริงๆ แต่หากทำตามนายทุน หรือหัวคะแนนของพรรคการเมือง ที่มีผลประโยชน์ในการทำอวนลาก โรงงานปลาป่น ฯลฯ โดยไม่คำนึงถึงวัตถุดิบที่เหมาะสม (ซึ่งวัตถุดิบหลักมีสองลักษณะคือ จากเศษที่เหลือจากการทำปลากระป๋อง ฯลฯ กับ ที่ได้จากอวนลากโดยตรง) ตัวนี้เองที่ทำให้เกิดวิกฤติในทะเล พันธุ์สัตว์น้ำถูกทำลาย ทะเลไทยที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับไม่พอต่อผู้บริโภคจนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
“ที่ร้ายแรงกระทบมากคือ เรามีชาวประมงพื้นบ้านใน 22 จังหวัดทั่วประเทศกว่าสามแสนครอบครัว ๆ ละ 5-7 คน หากทะเลเกิดวิกฤติพันธุ์สัตว์น้ำไม่เหลือแล้ว เราจะเอาคนไทยจำนวนนับล้านคนไปไว้ที่ไหน”
ดังนั้น การแก้ไขพ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่า หนึ่ง เรามีประชากรจำนวนนับล้านคนที่อาศัยทะเลเป็นแหล่งทรัพยากร สอง เราจะทำให้อาชีพประมงมีความยั่งยืน ส่งต่อทักษะวิชาชีพความเข้าใจต่อนิเวศของทะเลที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้อย่างไร ไม่ใช่ต้องให้เขาเปลี่ยนอาชีพเป็นกรรมกรก่อสร้างหรือแย่งงานกับคนอื่น
“นี่ย่อมไม่ยั่งยืนในทิศทางพัฒนาในอนาคต”
อีกอย่างคือ นักวิชาการทั่วโลกต่างยอมรับว่าทะเลเป็นแหล่งอาหารที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุด ปราศจากสารพิษต่างๆ ที่มีอยู่ในอาหารชนิดอื่นที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ นี่เป็นต้นทุนที่ดีที่สุดของประเทศไทยที่เรามีทะเลทั้งสองฝั่งคืออ่าวไทย และฝั่งอันดามัน ซ้ำอยู่ในเขตร้อนที่พันธุ์สัตว์น้ำมีความหลากหลาย เรามีทุกอย่าง ขาดก็แต่การ
บริหารจัดการที่ถูกที่ถูกทาง เช่น ทำอย่างไรไม่ให้มีการทำลายพันธุ์สัตว์น้ำตัวอ่อน หรือลดการบริโภคที่ไม่บันยะบันยัง ทั้งสัตว์เล็ก สัตว์น้อย
“ความจริงก่อนหน้านี้ทะเลเริ่มมีความอุดมสมบูรณ์กลับมา”เนื่องจากรัฐบาลชุดก่อนออกพ.ร.บ.2558 เนื่องจากเราถูกใบเหลืองจากอียูห้ามการส่งออก รัฐบาลจึงรับเงื่อนไขของ IUU ออกพ.ร.บ.ห้ามการทำประมงสำหรับเรือเถื่อน การกำหนดเขตเรือพาณิชย์จากชายฝั่ง การติด VMS ติดตามเรือประมง การฟื้นฟูปกป้องพันธุ์สัตว์น้ำ ฯลฯ ทำให้พันธุ์สัตว์น้ำ
เจริญเติบโตทะเลกลับมาสมบูรณ์มากขึ้น เป็นมาตรการควบคุมเรือประมงพาณิชย์ไม่ให้ทำผิดกฎหมาย ทำให้เรือประมงพาณิชย์จำนวนมากต้องจอดทิ้งไม่สามารถทำประมงได้
“ประมงพื้นบ้านไม่เคยเป็นผู้แทนราษฎร ไม่เคยเป็นนายทุนพรรคการเมือง ในทางกลับกัน นักการเมือง และโครงสร้างทางการเมืองได้ทุนสนับสนุนจากโรงงาน จากนายทุนทำประมงขนาดใหญ่ ดังนั้น กฎหมายใดที่กระทบผลประโยชน์ เขาก็ไม่ยอม จึงนำไปสู่การแก้ไขพ.ร.บ.ประมงฉบับนี้ ที่พยายามให้ระบบเก่าได้กลับมา นี่คือสิ่งที่เรากังวล”
“ถ้าแนวโน้มของประมงกลับไปสู่ยุคที่มือใคร
ยาว สาวได้สาวเอาอีก โดยรัฐบาลตั้งเป้าแก้พรบ. ประมง 2558 ทั้งหมด ทั้งนักวิชาการ และตัวผมเองก็คิดว่า เราก็มีสิทธิ์มากที่จะถูกใบเหลืองอีกครั้ง”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันเรามีข้อตกลงกับนานาประเทศหลายอย่าง เช่น เงื่อนไข FAO เงื่อนทางการค้า รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDG ซึ่งในส่วนของอียูจะให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มาก
ดังนั้น การฟื้นฟูทะเลให้มีความยั่งยืน รัฐบาลต้องให้ความสำคัญเพราะเป็นเงื่อนไขการค้าขายระหว่างประเทศ ไม่เช่นนั้น ก็อาจพาประเทศเสียหายได้
“ตอนนี้เรามีสองส่วน ๆ แรก เราก็สู้ในส่วนของกรรมาธิการ ที่มี คุณวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กับคุณปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทน ซึ่งเรามองว่าในคณะกรรมาธิการก็มีความหลากหลายไม่ได้มีแต่ฝ่ายรัฐบาล มีคนรักความเป็นธรรมอยู่”
อย่างที่บอก หากพ.ร.บ.ฉบับแก้ไขนี้ไม่มีความเป็นธรรมกับทะเล นั่นคือความวิบัติ ทั้งของทะเล ของประมงชายฝั่ง และผู้บริโภคที่ต้องซื้อสินค้าทะเลราคาแพงจากต่างประเทศ ซึ่งเรายอมไม่ได้ ยังไงก็ต้องสู้กัน
นั่นคือการเอาข้อมูลออกมาตีแผ่ให้ประชาชนรับรู้ เรามั่นใจว่าหากประชาชนรับรู้กันมากๆ รัฐบาลก็ต้องถอย ซึ่งที่ผ่านมาสังคมไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ เราต้องเอางานวิจัยต่างๆ ออกมา
เรื่องที่ชาวบ้านช่วยกันฟื้นฟูทะเล ทำบ้านปลา-ธนาคารปู ชี้ให้เห็นว่าการที่ชุมชนลุกขึ้นมาปฏิบัติการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตา ไปดูว่า ชุมชนที่ทำเรื่องนี้มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย
“นี่คือสิ่งที่สมาคมรักษ์ทะเลไทยยืนหยัด เราเชื่อว่าสาธารณะจะขับเคลื่อน แม้ว่าวันนี้ทุนยังเป็นใหญ่ แต่สักวันหนึ่งหากผู้คนตระหนักรู้ ย่อมจะเกิดความเปลี่ยนแปลง” นายบรรจง กล่าว