วันที่ 10 เมษายน ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค9 พิพากษาคดี นายกิจ หลีกภัยเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง กรณีทุจริตเรื่องการเช่าท่าเทียบเรือนาเกลือ เพื่อใช้ประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล
โดยระบุว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด ว่าการกระทำของนายกิจ หลีกภัย เมื่อครั้งตำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา157 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 กรณีทุจริตเกี่ยวกับการทำสัญญาเช่าท่าเทียบเรือและอาคารประกอบ ตำบลนาเกลือ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพื่อใช้ประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล เนื่องจากจะต้องขออนุญาตต่อกรมเจ้าท่า และต้องมีอัตราค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ใช้บริการและค่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการลำเลียงขนถ่ายสินค้า รวมทั้ง ไม่ได้เสนอขอมติจากสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง
ไม่ได้ขอความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และไม่ได้ดำเนินการโดยการประมูล ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการให้เอกชน กระทำกิจการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2541 จนมีเหตุให้ไม่สามารถเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมที่ออกใบแจ้งหนี้ไว้ก่อนตราข้อบัญญัติ และไม่สามารถนำเงินค่าตอบแทนในส่วนของการบันทึกข้อตกลงกับบริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นรายได้ของ อบจ.ได้
และในขณะเดียวกันยังให้บริษัทเอกชนดำเนินการให้บริการเครื่องจักรในแต่ละวันใช้เครื่องจักรประมาณ 5-8 คัน และเครื่องจักรดังกล่าวจะจอดประจำอยู่ในพื้นที่ของท่าเทียบเรือบ้านนาเกลือโดยตลอด ไม่มีการนำเครื่องจักร เข้า–ออกแต่อย่างใด
และปรากฏว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังได้เก็บเพียงค่าธรรมเนียมการใช้บริการจากบริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) เพียงค่าบริการรถยกตู้สินค้าและค่าบริการรถปั้นจั่น โดยที่ไม่ได้เรียก เก็บค่าธรรมเนียมในส่วนของเครื่องจักรกลที่บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) นำมาไว้ในพื้นที่เขตท่าเรือเกิน 24 ชั่วโมง นั้น
เกี่ยวกับคดีดังกล่าว ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค9 พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ,90 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราบการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 จึงพิพากษาให้จำเลยจำคุก 5 ปีและปรับ 120,000 บาท
การสืบพยานของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนและปรับ 68,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 2 ปี
ขอบคุณข้อมูล : มติชน
ติดตามข่าวได้ที่ : https://www.matichon.co.th/politics/news_5133592