ชาวสวนปาล์มรับแนวทาง “กนป.” ปรับดีเซลจาก“บี5เป็นบี7”ดันราคา

IMG 3831

เกษตรกรขานรับแนวทางคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ปรับจาก บี 5 เป็น บี 7 เชื่อมีผลในการระบายสต๊อกเดือนละ 70,000-80,000 ตัน ซึ่งจะมีผลต่อราคาปาล์มที่จะปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 6 บาทกว่า/กิโลกรัม เสนอสูตรโครงสร้างราคานำน้ำมันเมล็ดปาล์มเข้าไปด้วย  

8 พฤกษาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุม 401 ชั้น 4 อาคาร 150 ปีกระทรวงการคลัง นายพันศักดิ์ จิตรรัตน์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ในฐานะกรรมการ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เปิดเผย “ผู้สื่อข่าว” ผลสรุปในที่ประชุมประกอบ 1.แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปโครงสร้างราคา  โดยให้ทางกรมธุรกิจพลังงานมีส่วนร่วมในการจัดทำโครงสร้างราคา

“ความหมายของโครงสร้างราคาก็คือว่า เนื่องจากงานวิจัยระหว่างนักวิชาการกับของสภาเกษตรกรต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับโครงสร้างราคาซึ่งกันและกัน  จึงให้ต้องการให้หาค่าความเป็นกลางของราคาที่ยอมรับได้ระหว่างวิชาการกับสภาเกษตรกร”

2.ก็คือการปรับดีเซลจาก บี 5 เป็น บี 7 3.ไปดูปัญหาเรื่องปาล์มน้ำมันแล้ว 4.โรงสกัดมีมากเพียงพอกับผลผลิตมากน้อยแค่ไหน ควรจะมีการเพิ่มหรือลดลงกำลังการผลิตของโรงงาน 5.ให้กรมการค้าภายในไปดูปัญหาเรื่องปาล์มน้ำมันที่เกิดขึ้นให้ไปดูและแก้ปัญหา และ 6.ยกเลิกคณะกรรมการชุดเก่าจำนวน 15 คณะ

หัวใจหลักของที่ประชุมมีอยู่เรื่องคือ เรื่องโครงสร้างราคาและการปรับน้ำมันดีเซลจากบี 5 เป็นบี 7 โดยให้กระทรวงพลังงานเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งเรื่องโครงสร้างราคาปาล์มที่มีปัญหาก็คือทางโรงสกัดที่เขาไม่ยอมรับเรื่องการแบ่งปันเมล็ดในปาล์มน้ำมันที่เขาไม่ยอมแบ่งปันให้เกษตรกร

ในขณะที่เกษตรกรขอแบ่งปันน้ำมันเมล็ดในปาล์มเนื่องจากว่าเวลาที่โรงสกัดซื้อปาล์มน้ำมันเขาจะซื้อน้ำมันเปลือกนอก แต่น้ำมันเมล็ดในปาล์มทางโรงสกัดเขาไม่แบ่งปันเกษตรกร เพราะน้ำมันปาล์มมี2ชนิดก็คือน้ำมันเปลือกนอกและน้ำมันเมล็ดในแต่สิ่งที่เกษตรกรต้องการก็คือน้ำมันเมล็ดในปาล์ม ที่สกัดจากทลายปาล์ม ซึ่งที่ผ่านมาน้ำมันเมล็ดในปาล์มทางเกษตรกรไม่เคยได้รับการแบ่งปันจากโรงสกัด จึงให้ทางคณะกรรมการปฏิรูปโครงสร้างราคาไปดำเนินการพิจารณาในสูตรโครงสร้างราคาใหม่ว่าควรจะต้องดำเนินการอย่างไร แต่ขั้นต่ำในการแบ่งปันน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่เหมาะสม

“ทางโรงสกัดเขาพูดว่าเขาซื้อหมูไป 1 ตัวแล้วทำไมเราจ่ายเงินค่าเครื่องในหมูด้วย เพราะเขาบอกว่าเขาซื้อทั้งตัว เขาก็บวกน้ำหนักทั้งหมดให้แล้ว  แต่ปาล์มน้ำมันเวลากำหนดราคาซื้อจากเกษตรกร เขาซื้อน้ำมันเปลือกนอก แต่น้ำมันเมล็ดในปาล์มยังมีคุณค่า 5 เปอร์เซ็นต์ เทียบ 100 กิโลกรัมเท่ากับ 5 กิโลกรัม”

ซึ่งในความเป็นจริงราคาน้ำมันเมล็ดในปาล์มมีราคาสูงกว่าน้ำมันเปลือกนอก ที่เกษตรกรเรียกร้องเรื่องโครงสร้างราคาที่จะต้องนำเอาน้ำมันเมล็ดในปาล์มเข้าไปพิจารณา ลักษณะการคิดน้ำมันเมล็ดในปาล์มค่าเฉลี่ย 100 กิโลกรมจะมีน้ำมันเมล็ดในปาล์มอยู่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์

“ที่ผ่านมาเกษตรกรเสนอแบ่งปันน้ำมันเมล็ดในปาล์มไป 50 เปอร์เซ็นต์ ความหมายก็คือคนละครึ่งกันกับโรงสกัด แต่ทางโรงสกัดบอกว่าให้ได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์คือ 100 บาท แบ่งให้ 10 บาทเท่านั้น ซึ่งเกษตรกรมองว่าสัดส่วนการแบ่งให้เกษตรกรมันน้อยเกินไป ในขณะที่ในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซียมีน้ำมันเมล็ดในปาล์มอยู่ในโครงสร้างราคา”

สำหรับการปรับน้ำมันดีเซลจากบี 5 เพิ่มเป็น บี 7 นั้นจะมีผลเป็นบวกกับเกษตรกร เนื่องจากการเพิ่มจากบี 5 เป็น บี 7 จะช่วยน้ำมันปาล์มในประเทศถูกนำไปใช้ในเรื่องพลังงานมากขึ้น เพราะปัจจุบันน้ำมันปาล์มในสต๊อกเริ่มมีมากขึ้นโดยเฉพาะถ้าส่งไม่ได้จะทำให้ราคาในตลาดลดต่ำลง

ส่วนการดำเนินการปรับน้ำมันดีเซลจาก บี 5 เป็น บี 7 นั้น จะดำเนินการได้ต้องให้ทางรัฐมนตรีว่ากากระทรวงพลังงานพิจารณาอนุมัติ หลังจากที่ กนป. นำเสนอไปที่กระทรวงพลังงาน คาดว่าในเร็ว ๆ นี้จะได้รับอนุมัติ เนื่องจากกระทรวงพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องน้ำมันดีเซล บี 7  เพราะการปรับน้ำมันดีเซลจาก บี 5 มาเป็น บี 7 ต้องมีค่าใช้จ่ายจากการที่กระทรวงพลังงานจะต้องนำเงินมาชดเชย เดิมเกษตรกรเสนอให้ บี 10 และ ไปถึงบี 20 แต่หลังจากราคาปาล์มน้ำมันสูงขึ้น ผลผลิตน้อยลง เลยก็ต้องลด เนื่องจากการใช้ไบโอดีเซลรัฐจะต้องชดเชย ทำให้ปัจจุบันมีแค่ บี 5 เท่านั้น

“การเพิ่มจากบี 5 เป็น บี 7 ทำให้ค่าเฉลี่ยของน้ำมันปาล์มที่นำไปใช้ในเรื่องพลังงานประมาณ70,000- 80,000 ตันต่อเดือน ในประเทศไทยมีผลผลิตน้ำมันปาล์มอยู่ที่ 250,000 ตัน/เดือน สำหรับการบริโภคและอื่นๆ ประมาณ100,000 กว่าตัน/เดือน และใช้สำหรับพลังงานประมาณ 80,000 ตัน/เดือน”

ทำให้ปริมาณน้ำมันปาล์ในสต๊อกเหลืออยู่ประมาณ 50,000 ตัน/เดือน ที่จะต้องผลักดันในการส่งออก แต่ถ้าส่งออกไม่ได้ปริมาณน้ำมันปาล์มในสต๊อกก็เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันสต๊อกน้ำมันปาล์มอยู่ที่ประมาณ 300,000 กว่าตัน ซึ่งถือว่าสูง ซึ่งค่าเฉลี่ยสต๊อกไม่ควรเกิน 250,000 ตัน/เดือน แต่ในอนาคตสต๊อกน้ำมันปาล์มที่เหมาะสมกับกำลังการผลิตควรวจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 ตัน/เดือนก็พอ ด้วยเหตุผลเนื่องจากเราใช้ไม่ถึง 200,000 ตัน/เดือน แต่ผลผลิตเข้ามา 250,000 ตันทุกเดือน ก็จะทำให้ผลผลิตกับการใช้เกิดความสมดุลย์ และเหลือในสต๊อกเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งจะมีผลต่อราคาปาล์มที่เกษตรกรจะขายได้ โดยคาดว่าราคาที่จะเห็นได้หลังจากปรับบี 5 เป็น บี 7 แล้วราคาปาล์มที่เกษตรกรจะขายก็คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 บาทกว่า-6 บาทกว่า/กิโลกรัม แต่ก็ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลกด้วย ซึ่งมีจะมีการผันแปรไปตามสถานการณ์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *