“ผู้ว่าฯ สมนึก” ยันไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หลังถูกแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 157 พร้อมแจงไทม์ไลน์การแก้ปัญหา ขณะที่อดีตรองผู้ว่าฯกระบี่ ผู้แจ้งความบอกขอใช้สิทธิพลเมือง เอาผิดผู้ว่าฯกับพวก “ผิดม.157” ทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน กรณีไม่ดำเนินการตามกฎหมาย กับโพงพางในทะเลสาบสงขลา
“ต้องขอใช้สิทธิ์ในความเป็นพลเมืองของสงขลาแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาประมงจังหวัดและเจ้าท่าภูมิภาคจังหวัดกองกำกับ การตำรวจน้ำสงขลาในโทษฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฏหมาย” นายสมโภช โชติชูช่วง อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงกรณีที่เข้าแจ้งคามตามมาตรา 157 กับผู้ว่าฯ สงขลา รวมถึง 4 หน่วยเกี่ยวข้อง บ่ายวันที่
30 พฤษภาคม 2567 ที่ สภ.เมืองสงขลา และว่า

ตนเป็นตัวแทนชาวจังหวัดสงขลาเข้าแจ้งความ 4 หน่วยงานฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันเนื่องมาจากปัญหาการรื้อถอนเครื่องมือโพงพางซึ่งเป็นเครื่องมือผิดกฎหมายในทะเลสาบสงขลา ที่ชะลอการรื้อถอนเครื่องมือโพงพางโดยไม่มีกำหนด หลังจากชาวประมงที่ใช้เครื่องมือโพงพางได้ร่วมกันชุมนุมประท้วงปิดท่าแพขนานยนต์
นายสมโภช กล่าวว่า ปัญหาการรื้อถอนเครื่องมือโพงพางเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ซึ่งจังหวัดสงขลาโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ประมงจังหวัดสงขลาืเจ้าท่าส่วนภูมิภาคสาขาสงขลา และกองกำกับการตำรวจน้ำสงขลา ไม่ได้มีการใช้อำนาจหน้าที่ในการรื้อถอนเครื่องมือโพงพาง แม้จะเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน และกีดขวางร่องน้ำการเดินเรือ อีกทั้ง ยังปล่อยให้ใช้เครื่องมือโพงพางอย่างต่อเนื่อง
“การชุมนุมประท้วงของชาวประมงไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้อำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติแก้ปัญหาอย่างเท่าเทียม”

นายสมโภช กล่าวอีกว่า วันนี้ตนมาแจ้งความดำเนินคดีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปล่อยปละละเลยให้มีผู้กระทำความผิดในท้องที่ทะเลสาบสงขลา เป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน แม้ว่าจะมีการ
ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยการปิดประกาศแล้วว่าจะทำการรื้อถอน แต่พอถึงเวลาก็ไม่ได้ทำการรื้อถอน
“เห็นการกระทำความผิดอยู่ทุกวัน ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่ดำเนินการ ผมจึงต้องมาแจ้งความตามกฏหมาย เพราะช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า
ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยว แค่เอาเรือไปเฉี่ยวกลับต้องมาจ่ายภาษีเถื่อนครั้งละ 2-3 หมื่น ไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รักษากฎหมายเข้ามาดูแลอะไรเลย”
ที่สำคัญที่สุด ตรงจุดนี้คือ แหล่งทำประมงแบบล้างผลาญ ทำลายสัตว์น้ำ ทั้งในวัยอ่อน วัยเจริญพันธ์ุ
ใช้เครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ในท้องทะเลสาบสูญหาย ทำให้พี่น้องชาวประมงที่ทำประมงแบบถูกกฎหมาย ต้องได้รับผลกระทบจากคนพวกนี้

โดยพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องเอาไว้ และเตรียมสอบปากคำอย่างละเอียด เพื่อสรุปเรื่องนำส่ง ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ บันทึกการแจ้งความระบุว่า วันที่ 30 พ.ค.2567 สถานที่เกิดเหตุ ในทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่หัวพญานาค ถึงท่าเทียบเรือประมงใหม่ ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษคือ นายสมโภช โชติชูช่วง อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 464 ม.5 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา ผู้ถูกกล่าวหา 4 ราย ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา, ประมงจังหวัดสงขลา, ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสงขลา และผู้กำกับการตำรวจน้ำสงขลา พฤติการณ์แห่งคดีโดยย่อ นายสมโภช โชติชูช่วงฐานะตัวแทนประชาชนชาวจังหวัดสงขลา มาแจ้งว่า
จากการสร้างโพงพาง สิ่งกีดขวาง ตลอดจนการใช้เครื่องมือทำประมงผิดกฎหมาย กีดขวางในพื้นที่ทะเลสาบสงขลา เป็นเหตุให้ประชาชนชาวจังหวัดสงขลาเกิดความเดือดร้อน และเป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เป็นอย่างมาก จนกระทั่ง ก่อนหน้านี้ นายสมนึก พรหมเขียว ในฐานะประธานคณะกรรมการประมงจังหวัดสงขลา ได้ออกคำสั่งให้รื้อถอนโพงพางที่สร้างกีดขวางน่านน้ำทะเลสาบสงขลา และปราบปรามจับกุมผู้ลักลอบใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายจับสัตว์น้ำภายในทะเลสาบสงขลา

แต่ต่อมาปรากฏว่า หัวหน้าหน่วยราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการควบคุม ปราบปราม กรณีดังกล่าว ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ประมงจังหวัดสงขลา ผอ.เจ้าท่าภูมิภาคจังหวัดสงขลา และผู้กำกับการกองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ
(จังหวัดสงขลา) กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนชาวจังหวัดสงขลาโดยรวม โดยนอกจากไม่มีการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้ว หัวหน้าหน่วยงานข้างต้นยังปล่อยปละละเลย ให้กลุ่มผู้กระทำความผิด มีการชุมนุม ปิดท่าแพขนานยนต์ จนไม่อาจเปิดให้บริการแก่ประชาชนได้ตามปกติ รวมถึงยังรับข้อเสนอที่จะดำเนินการให้ทะเลสาบสงขลาเป็นเขตประมงพิเศษ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษ
หัวหน้าสถานีผู้รับแจ้งคือ พ.ต.อ.บรรเทิง เหล่าเจริญ พร้อมพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พ.ต.ท. รณวิทย์ ชูช่วย และผู้รายงาน ร.ต.ต.บุญรอด เหมือนยอด พ.ต.ท. รณวิทย์ กล่าวว่า วันนี้เป็นเพียงการมาแจ้งความ และบันทึกประจำวัน ตามมาตรา 157 (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือ
ปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
“จะเข้าองค์ประกอบแห่งคดีหรือไม่ ต้องมีรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งผู้แจ้งบอกว่า จะนำมาให้อีกทีหนึ่ง” พ.ต.ท.รณวิทย์ กล่าว

“ผู้ว่าฯ สมนึก” ยันไม่ละเว้นปฏิบัคิหน้าที่
31 พฤษภาคม 2567 นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ชี้แจงกรณีการแก้ปัญหาโพงพาง เครื่องมือประมงผิดกฎหมายในทะเลสาบสงขลา ระหว่างการประชุมหัวหน้าหน่วยราชการ ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา
ภายหลังถูกตัวแทนชาวสงขลา เข้าแจ้งความดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติห้าที่ตามมาตร 157 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้แจงว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีโพงพาง เครื่องมือประมงผิดกฎหมายกีดขวางร่องน้ำการเดินเรือ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เน้นย้ำการใช้มาตรการทางกฎหมาย ไม่ใช้กกำลังเข้ารื้อถอน เนื่องจากเห็นว่าจะส่งผลกระทบกับประชาชน จนกระทั่งมีการจับกุมชาวประมงที่ใช้เครื่องมือโพงพาง และประชุมหารือกัน ซึ่งก็ได้ทำหนังสือในนามจังหวัดสงขลา ส่งถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่การกระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรม เจ้าท่า เน้นย้ำในเรื่องปฏิบัติตามข้อกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน รวมถึง ขอให้ดูแลในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชาวประมง
ที่สำคัญมีเป้าหมายในการแก้ปัญหาเครื่องมือประมงผิดกฎหมายอย่างยั่งยืน แต่อาจจะใช้วิธีการที่ต่างกัน ทั้งนี้ ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการอนุญาตให้ใช้เครื่องมือโพงพางในทะเลสาบสงขลา เนื่องจากไม่มีอำนาจหน้าที่ในการทำสิ่งผิดกฎหมายได้
ทั้งนี้ ผู้ว่า๊ฯ สงขลาไม่ได้พูดถึงแนวทางในการแก้ปัญหาหลังจากนี้ โดยก่อนชี้แจงได้ระบุว่า ชี้แจงว่าทำอะไรมาบ้างแล้วห้ามสื่อมวลชนซักถาม
ในขณะที่ชาวประมงที่ใช้เครื่องมือโพงพาง ยังคงใช้เครื่องมือผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และทั้งหมดก็อยู่ใกล้กับสำนักงานของทั้ง 3 หน่วย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจน้ำ ประมงจังหวัดและเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสงขลา